[เดือนหนาว]
@แชตกลุ่ม
เดือนหนาว : ยัยโฟร์ แกออกมายังเนี่ย จะเที่ยงแล้วนะ
โฟร์ : ถึงแล้ว หาที่จอดรถแป๊บ
เดือนหนาว : งั้นแกไปจองโต๊ะเลย เดี๋ยวฉันตามไป
โฟร์ : โรงอาหารวิศวะใช่ปะ
เดือนหนาว : ใช่ อยู่หลังลานจอดรถอะ
โฟร์ : เค แล้วเจอกันนะสะใภ้วิศวะ
เดือนหนาว : เพ้อเจ้อ
ฉันมุ่ยหน้าใส่จอโทรศัพท์มือถือเมื่อโดนแซวแบบนั้น ยิ่งนัดเจอกันแบบนี้ไม่รู้ว่ายัยสองเพื่อนซี้จะทำอะไรแปลก ๆ หรือเปล่า
“คิดถูกไหมเนี่ยที่พาสองคนนั้นไปด้วย” ฉันพึมพำเมื่อนึกถึงใบหน้าของสองเพื่อนรัก ถ้าพวกนางไปกรี๊ดกร๊าดใส่ไวน์หรือพูดเพ้อเจ้ออะไรแปลก ๆ เข้าต้องขายหน้าแย่เลย
สึบ!
“กรี๊ด!” แต่ก้าวออกไปนอกตึกได้เพียงไม่กี่ก้าว ฉันก็ต้องกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อบางอย่างลักษณะเป็นเส้นยาว ๆ ตกลงมาใส่หัวฉัน
“อะ อะไรน่ะ งูเหรอ” แต่พอจับของที่ตกลงมาพาดไหล่ดูก็พบว่ามันคือสร้อยหนังสีดำเส้นหนึ่ง จี้เล็ก ๆ ของมันมีรูปคล้ายฟันเฟือง
“นี่มัน...สร้อยนี่? เกียร์ของคณะวิศวะหรือเปล่านะ” ที่นึกได้แบบนี้เพราะฉันเคยเห็นของแม่น่ะสิ ท่านเป็นศิษย์เก่าคณะวิศวะเหมือนกัน พ่อฉันสวมมันไว้ที่คอตลอดเพราะแม่เป็นคนมอบให้ ท่านรักษามันดีกว่าแหวนแต่งงานอีก
“แกร่วงลงมาได้ยังไงเนี่ย ใครเอามาโยนทิ้งแบบนี้ หรือว่าจะตกลงมา” ฉันเงยหน้าขึ้นไปยังด้านบนของตึก ซึ่งมีผู้คนยืนพิงระเบียงมากมาย บางคนก็กำลังเดินไปเดินมา บางคนก็เกาะขอบระเบียงยืนคุยโทรศัพท์มือถือ
สัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยฉันอยู่ตรงใจกลางฟันเฟือง ยิ่งทำให้มั่นใจว่าเป็นของเด็กมอเดียวกัน
“หือ…มีเลขสลักไว้ด้วยเหรอ รหัสนักศึกษาหรือเปล่า?” รอบฟันเฟืองมีเลขหลายหลักสลักไว้ พอหมุนดูก็รู้ว่ามันคือรหัสนักศึกษา
“ของแม่ไม่เห็นมีแบบนี้บ้างเลย เกียร์รุ่นอันนี้สวยดีนะเนี่ย” ฉันมองมันด้วยความสนอกสนใจเพราะเพิ่งเคยเห็นเกียร์ที่สลักรหัสนักศึกษาเอาไว้
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง!
“มาแล้ว ๆ รอนานไหม” ทว่าเสียงกริ่งจักรยานที่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงของใครบางคนก็ทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นไปมอง มือก็เก็บสร้อยใส่กระเป๋าเอาไว้ก่อนจะส่งยิ้มให้เขา
“ไม่นานหรอก เราเพิ่งลงมาเมื่อกี้เอง”
“ไหวไหมน่ะ” คนที่คร่อมจักรยานอยู่เอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทางทุลักทุเลของฉันที่เดินกระเผลกไปหาเขา
“ไหวสิ วันนี้ไม่ค่อยปวดเท่าไหร่เพราะไม่ได้เดินไปไหน นั่งเรียนแล้วก็เดินเข้าลิฟต์แค่นั้นเอง”
“งั้นไปกันเถอะ เราให้เพื่อนจองโต๊ะไว้แล้ว”
“อ้าวเหรอ เราก็ให้เพื่อนจองโต๊ะไว้เหมือนกัน”
เราสองคนหัวเราะออกมาพร้อมกันเพราะไม่คิดว่าต่างฝ่ายจะต่างจองโต๊ะไว้
ฉันซ้อนท้ายจักรยานคันที่เขาปั่นมาส่งฉันหน้าตึกเมื่อเช้าไปที่โรงอาหาร แม้จะไม่ชินกับสายตาของผู้คนระหว่างทางที่มองมา แต่ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วล่ะที่ฉันจะติดต่อกับเขา ต่อไปเราคงไม่เจอกันอีก
@โรงอาหารคณะวิศวกรรมศาสตร์
ทันทีที่เดินเข้าไปด้านใน เราสองคนต่างก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อโทรหาเพื่อน ๆ
“หนาว ยัยหนาว! ทางนี้!” แต่แล้วเสียงยัยโฟร์ที่โบกไม้โบกมือให้ฉันไกล ๆ ก็ทำให้ใครบางคนหันไปมองตาม
“นั่นเพื่อนเธอเหรอ” คนข้าง ๆ หันมาถาม
“ใช่ ๆ”
“งั้นเธอไปนั่งรอกับเพื่อนก็ได้ เดี๋ยวเราจะไปตามเพื่อนเรามา”
“โอเค” เมื่อตกลงกันได้เราสองคนก็แยกกันไปหาเพื่อน แต่ทันทีที่ฉันเดินไปถึงโต๊ะ ยัยโฟร์ก็ออกอาการสะดีดสะดิ้งใส่ฉัน
“แก! คนนั้นพี่ไวน์นี่ อ๊าก วันนี้ฉันจะได้นั่งกินข้าวกับเขาเหรอ อร๊าย! ตื่นเต้น ๆ”
“แกเลิกเรียกเขาว่าพี่สักทีได้ไหม เขารุ่นเดียวกับเรานะ” ฉันว่าให้นางก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างกัน
“ใครหล่อฉันก็เรียกพี่หมดนั่นแหละ ไม่เคยเห็นซีรีย์เกาหลีหรือไงยะ ใครหล่อก็เรียกโอปป้าหมด” นางหันมาเถียงก่อนจะหันไปยังทิศทางที่มีกลุ่มคนเดินมาแล้วทำท่ากรี๊ดสลบต่อ
“หล่อหมดเลยอะแก อร๊าย” เพื่อนรักหันมากรี๊ดกร๊าดใส่ฉันพลางทุบไหล่ฉันไปด้วย จนฉันต้องหยิกเอวนางแรง ๆ เมื่อสามคนนั้นเดินใกล้เข้ามา
“แกเลิกทำท่าแปลก ๆ ได้แล้วน่า ฉันอายเขา” ฉันว่าให้
“มาแล้วครับสาว ๆ” เสียงไวน์ที่เดินนำหน้าเพื่อนเขามาเอ่ยขึ้น ก่อนจะพากันนั่งลงฝั่งตรงข้ามฉันกับยัยโฟร์
“หล่ออะแก อยากได้ทุกคนเลย” เพื่อนรักหันมากระซิบ ทำเอาฉันต้องหยิกเอวนางไปอีกหนึ่งทีเพื่อให้ความระริกระรี้ของนางลดลง ดีนะที่วันนี้ยัยก้อยไม่มาอีกคน ไม่งั้นคงเข้ากันกับยัยโฟร์ได้ดีเลยเรื่องผู้ชายเนี่ย
“นี่โฟร์เพื่อนเราเอง เรียนบริหารปี่สีเหมือนกัน” ฉันแนะนำคนข้าง ๆ ให้หนุ่ม ๆ ทั้งสามคนรู้จัก ซึ่งคนถูกแนะนำก็ยิ้มแก้มปริให้ ฉันหันกลับมาหายัยโฟร์พร้อมแนะนำใครบางคนให้นางได้รู้จัก “ส่วนนี่ไวน์ คนที่พาฉันไปส่งห้องพยาบาลเมื่อวานน่ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะโฟร์” ทันทีที่ฉันแนะนำไวน์ให้รู้จักกับโฟร์จบ รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาก็ส่งมาให้ยัยเพื่อนรัก คนถูกยิ้มให้ก็หน้าแดงแจ๋ทั้งยังนั่งยิ้มไม่หุบ
“เราชื่อทิวนะ” ผู้ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ฉันจำได้ว่าเราเคยคุยกันแล้วเมื่อเช้านี้
“เราแทน” คนที่ก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์มือถือแนะนำตัวกับยัยโฟร์บ้าง
“ยินดีที่ได้รู้จักนะทุกคน” ยัยโฟร์ส่งยิ้มกลับพร้อมพยักหน้าให้ทั้งสามคน
“เอ่อ งั้นเราสั่งข้าวกันดีกว่าเนอะ คนเริ่มมาเยอะแล้ว” พอเห็นทุกคนรู้จักกันแล้วฉันก็รีบชวนสั่งอาหาร เพราะช่วงเที่ยงคนจะพักเยอะ
“สาว ๆ อยากกินอะไรครับเดี๋ยวพวกเราไปสั่งให้เอง” ทิวอาสา
“งั้นพวกมึงสั่งให้กูด้วยแล้วกัน เดี๋ยวกูไปซื้อน้ำเอง” แทนเสนอ
“งั้นเราไปช่วยแทนถือน้ำเอง” ยัยโฟร์ลุกขึ้นก่อนจะหันมามองฉันแล้วพูดต่อ “ส่วนแกยัยหนาวขาเป๋ นั่งเฝ้าโต๊ะไปนะ ฝากดูกระเป๋าด้วย”
“ก็ได้” ฉันพยักหน้าให้ เพราะยังไงก็เดินไม่สะดวกอยู่แล้ว
“กูเอากะเพรารวมนะมึง” แทนบอกเพื่อน ๆ
“เราก็เหมือนกัน” ยัยโฟร์ว่าก่อนจะเดินตามแทนออกไปซื้อน้ำด้วยกัน
“แล้วหนาวล่ะอยากกินอะไร” ไวน์ถามฉัน
“เราเอาเหมือนสองคนนั้นก็ได้ ง่ายดี”
“โอเค งั้นเธอนั่งรอพวกเราแป๊บนะ เดี๋ยวรีบมา”
“อื้ม” เมื่อสองหนุ่มเดินออกไปฉันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นรอ ระหว่างนั้นก็ส่งข้อความไปถามไถ่เรื่องแม่ยัยก้อยด้วย
หลังจากพวกเราห้าคนกินมื้อเที่ยงด้วยกันเสร็จ หนุ่ม ๆ ก็ชวนไปนั่งเล่นที่ลานเกียร์ต่อ แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะปฏิเสธ ยัยโฟร์ก็รีบตอบตกลง
ฉันคิดว่าไม่อยากรู้จักพวกเขาไปมากกว่านี้แล้ว อยากเลี้ยงข้าวขอบคุณแล้วก็แยกย้ายกัน แต่คงเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะ ในเมื่อตอนนี้พวกเรานั่งอยู่ลานเกียร์กันแล้ว แถมยัยโฟร์เองก็เหมือนจะสนุกกับการได้คุยกับหนุ่ม ๆ ด้วย โดยเฉพาะทิวที่คุยเก่งพอ ๆ กับยัยโฟร์ ส่วนแทนรายนั้นก้มหน้าก้มตาจดจ่ออยู่กับจอมือถือ ซึ่งฉันเพิ่งรู้ว่าเขากำลังเล่นเกมอยู่ มีแค่ฉันกับไวน์ที่นั่งฟังยัยโฟร์กับทิวคุยกัน เพราะเราสองคนไม่รู้จะคุยเรื่องอะไร ยัยโฟร์นางสนใจเรื่องเกี่ยวกับวิศวะอยู่แล้ว ก็เลยหาเรื่องมาคุยได้
“อื้ม เราเพิ่งนึกขึ้นได้น่ะ มีเรื่องอยากถามพวกนายอยู่พอดีเลย” ฉันนั่งเงียบไปสักพักก็นึกขึ้นได้ก่อนจะหันไปตีแขนยัยโฟร์เบา ๆ ให้นางหันมาสนใจฉัน “แกด้วยยัยโฟร์”
“เรื่องไรอะ” ทั้งสี่คนถามขึ้นพร้อมมองมาที่ฉัน
“คือ…ตอนเรายืนรอไวน์มารับที่หน้าตึกคณะ อยู่ ๆ ก็มีไอ้นี่ตกลงมาใส่หัวเรา” ฉันล้วงเข้าไปในกระเป๋าก่อนจะหยิบสร้อยหนังสีดำออกมาวางไว้ตรงหน้าพวกเขา
“เฮ้ย นี่มันเกียร์รุ่นนี่หว่า” ทิวรีบจับขึ้นไปดูพลางพลิกจี้ไปมา ก่อนจะหันไปมองหน้าไวน์
“เออว่ะ ไหนดูรหัสด้านหลังดิ๊มึง เหมือนของรุ่นพวกเราเลย” แทนที่วางโทรศัพท์ลงเงยหน้ามาคุยกับทิว
“หูย ฉันว่าแกโดนอาถรรพ์ลานเกียร์เข้าครอบงำแล้วแหละยัยหนาว” ยัยโฟร์พูดขึ้น ทำเอาทั้งสามหนุ่มหันมามองนางเป็นตาเดียว
ฉันเองก็ถลึงตาใส่นาง เพราะไม่คิดว่ายัยเพื่อนรักจะเอาเรื่องนั้นมาพูดที่นี่ด้วย ถ้าเป็นเรื่องตลกที่รุ่นพี่เอาไว้หลอกเด็กปีหนึ่งละก็พวกเขาคงขำน่าดู
“ยังไงอะโฟร์” ทิวถามด้วยท่าทางสนใจ
“ก็เมื่อวานยัยหนาวนางเดินสะดุดลานเกียร์ใช่ไหมล่ะ แล้ววันนี้เกียร์ยังตกใส่หัวนางอีก เราว่าไม่นานยัยหนาวเพื่อนเราจะต้องได้หนุ่ม ๆ คณะนี้เป็นแฟนแน่ ๆ เลย อร๊าย” ไม่ตอบคำถามเปล่า แต่ยังบิดตัวไปมาเหมือนตอนที่คุยเรื่องนี้กับยัยก้อยอีก ขายน่าจริง ๆ เลย ยัยเพื่อนเนี่ย!
“เพ้อเจ้อแล้วแก” ฉันว่า