[เดือนหนาว]
ติ๊ง!
เสียงแจ้งเตือนข้อความทำให้ฉันที่กำลังนอนอยู่ต้องงัวเงียลุกขึ้นมาควานหาโทรศัพท์มือถือ
ยัยก้อยหรือยัยโฟร์กันนะทักมาเช้า ๆ แบบนี้
Y eiei ได้เพิ่มคุณจากไอดี
“หืม? ใครอะ…” แจ้งเตือนที่ปรากฎบนหน้าจอทำให้ฉันขมวดคิ้วสงสัย ใครบางคนแอดเพื่อนฉันมาทั้งที่ฉันไม่เคยแจกไอดีใคร แต่มองรูปโปร์ไฟล์ก็พอเดาออกว่าเป็นผู้ชาย ว่าแต่ใครกันนะที่แอดมา รูปโปร์ไฟล์สวมเสื้อสีน้ำเงินยืนหันหลัง?
Y eiei : หนาว
เดือนหนาว : อยากได้ผ้าห่มเหรอ
Y eiei : ป่าว เดือนหนาวใช่ไหม
เดือนหนาว : อ๋อ ใช่ แล้วนี่ใครอะ
Y eiei : นี่ไวน์เอง
เดือนหนาว : อ้าวไวน์เหรอ เราก็คิดว่าใคร แล้วนี่แอดมามีไรป่าว
ฉันถามกลับและไม่สงสัยเลยว่าไวน์ได้ไอดีฉันมาจากไหน วันก่อนยัยโฟร์ดึงหนุ่ม ๆ กลุ่มนี้เข้ามาในไลน์กลุ่มเรา
Y eiei : วันนี้ว่างไหม
เดือนหนาว : ว่าง
Y eiei : ช่วยไปซื้อของเป็นเพื่อนเราหน่อยสิ ของผู้หญิงเราซื้อไม่เป็น
“…” ข้อความที่ไวน์ส่งมาทำให้ฉันลังเลนิดหน่อย แต่พอนึกถึงตอนที่เขาอุตส่าห์อุ้มฉันไปห้องพยาบาลที่อยู่ตั้งไกลก็ตอบตกลงไป อีกอย่างเราสองคนก็รู้จักกันระดับหนึ่ง ถึงจะไม่สนิทกันแต่ช่วงนี้พวกเราเจอกันที่มหาลัยบ่อยเลยรู้ว่าเขาเองก็นิสัยใช้ได้
เดือนหนาว : ได้สิ เจอกันที่ไหนดี
Y eiei : ให้เราไปรับไหมล่ะ เราเอารถไป
เดือนหนาว : ได้สิ คอนโด S ตึก A นะ
Y eiei : โอเคครับ อีกครึ่งชั่วโมงน่าจะถึง เราจะรอข้างล่างนะ
เดือนหนาว : เคจ้า
พอตกลงกันได้ฉันก็รีบไปอาบน้ำแต่งตัว ก่อนจะรีบลงไปรอไวน์ข้างล่างตามที่นัดกันไว้
“มาแล้ว ๆ” ฉันบอกใครบางคนทันทีที่วิ่งออกจากลิฟต์ เขากำลังยืนกดโทรศัพท์มือถือพิงรถยนต์คันหนึ่ง ตรงจุดจอดรถชั่วคราวหน้าตึก
“…น่ารักจัง” คำชมของคนตรงหน้าทำให้ใบหน้าฉันร้อนผ่าวขึ้น นอกจากพ่อกับบรรดาพี่ ๆ ของฉันแล้วก็ไม่มีผู้ชายคนไหนชมฉันแบบนี้เลย
“ก็แต่งปกตินี่” ฉันตอบกลับทั้งที่ใบหน้ายังมีรอยยิ้มประดับอยู่ บอกแล้วว่าเจอหน้าไวน์ทีไรฉันหุบยิ้มไม่ได้ทุกที
“งั้นก็แสดงว่าน่ารักแบบนี้จนเป็นเรื่องปกติสินะ” คนตรงหน้าชมต่อก่อนจะเปิดประตูรถให้ ฉันได้แต่เบือนหน้าหนีไปแอบยิ้มทิศทางอื่นก่อนจะรีบเข้าไปนั่งในรถ
ดูจากรถที่ไวน์ขับมาก็พอจะรู้ราคาบ้าง เพราะลูกพี่ลูกน้องของฉันก็เป็นนักสะสมรถเหมือนกัน ตอนอยู่มหาลัยฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอก พอเจอกันข้างนอกแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่ไวน์สวมใส่ นาฬิกา รองเท้า รวมทั้งรถคันนี้ก็พอจะเดาฐานะเขาออก ถึงจะไม่ได้แต่งตัวเวอร์วัง แต่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ที่สวมมาราคาก็ไม่ใช่ถูก ๆ เลย
“หนาวอยากไปไหนไหม” คนที่ขับรถออกจากคอนโดหันมาถามก่อนจะหันไปสนใจถนนตรงหน้าต่อ
“อืม…คิดไม่ออกเลยอะ ไปช่วยไวน์ซื้อของแล้วเดินเล่นที่นั่นเลยก็ได้ ต้องไปดูก่อนว่ามีอะไรน่าซื้อไหม”
“งั้นเราไปห้างแถวนี้ก็แล้วกันเนอะ ถ้าหนาวไม่รีบไปไหนต่อ เรากินข้าวกันแป๊บหนึ่งค่อยกลับดีไหม”
“อื้ม เอางั้นก็ได้”
“ขอบคุณหนาวมากนะที่มาด้วย”
“ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เอง” ฉันหันไปยิ้มให้เขา “ว่าแต่จะไปซื้อของให้สาวที่ไหนเหรอ ถามได้ป่าว”
“ซื้อให้แฟนน่ะ ใกล้ถึงวันเกิดเขาแล้ว”
“…”
“แฟนพ่อน่ะ” คนที่หันมาพูดต่อหัวเราะคิกคักออกมา ฉันที่คิดไปไกลได้แต่กุมขมับเพราะแอบคิดไปว่าเขาให้ไปช่วยเลือกของให้แฟนเขา
ไม่นานเราสองคนก็มาถึงห้างสรรพสินค้า ห้างนี้ฉันมาบ่อยเพราะอยู่ไม่ไกลจากที่พัก
“นายพักแถวนี้เหรอ ตอนขับเห็นเลี่ยงทางรถติดเก่งมากเลย” ฉันหันไปถามคนข้าง ๆ
“เปล่าหรอก เรามาแถวนี้บ่อยน่ะ บ้านญาติเราอยู่แถวนี้” พอได้ยินก็พยักหน้าให้เป็นอันเข้าใจ
เราคุยกันพักหนึ่งว่าจะเลือกอะไรเป็นของขวัญวันเกิดให้แม่ของไวน์ดี แต่พอไวน์บอกว่าอยากได้อะไรง่าย ๆ ที่ราคาไม่แพงมากเพราะเขาใช้เงินเก็บตัวเองซื้อ ฉันก็เลยเสนอเป็นผ้าพันคอ
“กรุงเทพถึงจะเข้าหน้าหนาวแต่อากาศก็ไม่ได้เย็นมาก ซีซันอื่นอากาศก็ออกจะไปทางร้อนมากกว่า นายเลือกผ้าพันคอที่ใช้กับชุดสูทหรือชุดกระโปรงเวลาแม่นายไปเที่ยว หรือแต่งตัวออกไปข้างนอก ไปเจอเพื่อนดีไหม” ฉันเสนอเมื่อเราเดินเข้ามาในโซนตู้กระจกที่มีแต่ผ้าพันคอหลากหลายให้เลือก
“ดีเหใอนกัน เอาตามที่หนาวว่ามาเลย” คนข้าง ๆ พยักหน้าเห็นด้วย “แม่เราชอบอวดลูกชายน่ะ ถ้าซื้อผ้าพันคอที่เข้ากับหน้าร้อน หรือที่เหมาะกับพันคอเป็นแฟชั่นไปนั่งห้องแอร์ แม่จะได้อวดเพื่อนว่าลูกชายซื้อให้” คนข้าง ๆ พูดไปยิ้มไป
ดูเขามีความสุขกับการได้เลือกของขวัญให้แม่จังเลยนะ นอกจากพ่อแล้วฉันก็ไม่เคยเห็นผู้ชายที่ไหนใส่ใจแม่ตัวเองแบบนี้มาก่อนเลย
“แม่นายโชคดีจังเนอะ มีลูกชายใส่ใจขนาดนี้” ฉันเอ่ยชมเมื่อเห็นท่าทีของเขาที่ตั้งอกตั้งใจเลือกของขวัญให้แม่ ถ้าแม่เขาได้มาเห็นภาพนี้คงดีใจไม่น้อยเลย
“แล้วอยากให้เราเป็นลูกเขยแม่เธอป่าวล่ะ ใส่ใจแม่ยายเหมือนเป็นลูกชายเลยนะ” ไม่ว่าเปล่าแต่หันมาสบตาฉันพร้อมฉีกยิ้มให้ พอได้ยินแบบนั้นฉันก็อดยิ้มตามไม่ได้ ทั้งยังรู้สึกเขินขึ้นมาอีก
“บ้า เลือก ๆ ไปเลยไม่คุยด้วยแล้ว” ฉันว่ายิ้ม ๆ ก่อนจะเดินหนีออกมา ระหว่างนั้นริมฝีปากก็ยิ้มกว้างขึ้น
ทำไมถึงหุบยิ้มไม่ได้สักทีนะ
หนึ่งชั่วโมงต่อมา…
“เราจะไปไหนกันต่อดี” ฉันหันไปถามไวน์ขณะเดินออกมาจากร้านผ้าพันคอพร้อมกัน
“ไปสู่ขอเธอไง” คนถูกถามตอบมาแบบนั้นพร้อมอมยิ้มใส่ฉัน ทำฉันที่คิดว่าจะไปไหนต่อต้องจิ๊ปากใส่เขา
“เราไม่คุยกับนายแล้วนะ” ฉันว่าก่อนจะเดินหนีออกมา ถ้าวันนี้ไม่รีบกลับคอนโดมีหวังฉันได้กรามค้างแน่เลย ไม่ว่าจะมองหน้าเขาหรือแค่พูดอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ด้วยกันก็เอาแต่ยิ้มไม่หยุด
“โกรธเราเหรอ” คนที่เดินตามหลังมาถามขึ้น
“เปล่านี่ จะโกรธจะอะไรล่ะ” ไม่ได้โกรธแต่ไม่อยากมองหน้าต่างหาก มองทีไรต้องยิ้มตลอดปวดกรามไปหมดแล้วเนี่ย
“ง้อ ๆ นะ ๆ” คนที่วิ่งเหยาะ ๆ ตามมาขวางทางฉันเอาไว้คุกเข่าลงแล้วทำตาปริบ ๆ ใส่ การกระทำของเขาแม้ไม่มีใครสนใจแต่ฉันน่ะอาย อาย!
“วะ…ไวน์! นายทำอะไรเนี่ย คุกเข่าทำไม ลุกขึ้นมาเลยนะ” ให้ตายเถอะ เขาคุกเข่าลงเอาดื้อ ๆ กลางห้างเลยเนี่ยนะ อ๊ากก!
“ก็ง้อเธอไง เวลาผู้หญิงโกรธหรือเป็นอะไร ชอบบอกว่าไม่เป็นอะไร” ไม่พูดเปล่าแต่ยื่นนิ้วก้อยมาทำท่าจะให้เกี่ยวก้อยด้วย คนขี้แกล้งยิ้มทะเล้นออกมาเมื่อแกล้งฉันให้อายได้ ตอนนี้เริ่มมีคนหันมาสนใจพวกเราแล้ว
อ๊ากก! นี่ฉันเพิ่งเคยเจอคนแบบนี้ครั้งแรก แล้วต้องทำยังไงต่อเนี่ย!
“โอเค ๆ ถ้าเราเกี่ยวก้อยกับนายแล้วต้องรีบลุกขึ้นเลยนะ” ฉันมองหน้าคนที่คุกเข่าอยู่ด้วยแววตาคาดโทษ ก่อนจะยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวด้วยกัน
“คิก เขินเหรอ” พอลุกขึ้นได้ก็ยิงคำถามตรง ๆ มาใส่ฉัน
ก็ใช่น่ะสิ! ทั้งเขินทั้งอายเลยล่ะ
“มั่วแล้ว ทำไมเราต้องเขินด้วย” ฉันว่าให้พลางผลักไหล่เขาไปทีหนึ่งทั้งที่ยังอมยิ้มไม่หุบสักที ซึ่งเขาเองก็ไม่ต่างกัน “ยิ้มอะไรน่ะ” ฉันหันไปมุ่ยหน้าใส่เขา
“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากยิ้มให้” ไม่ว่าเปล่าแต่ฉีกยิ้มกว้างใส่ฉันจนแก้มปริ
ยิ้มแฉ่ง!
“ไวน์!” ฉันจะต้องกรามค้างเพราะเขาไปอีกนานแค่ไหนกัน ทั้งวันฉันยิ้มจนหุบไม่ลงแล้วเนี่ย! “รีบกลับกันเลย เราไม่อยากอยู่กับนายแล้ว” ฉันมุ่ยหน้าใส่เขาก่อนจะรีบเดินหนีออกมา ทว่าคนขายาวก็เดินตามทัน ทั้งยังเดินในท่าสบาย ๆ อีกด้วย
“หนาวเคยได้ยินสุภาษิตนี้ปะ” คนข้าง ๆ หันมาถาม
“จะเล่นอะไรอีก” ฉันทำเสียงดุใส่ทั้ง ๆ ที่ปากยังยิ้มอยู่
“ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง แต่คนยิ้มแฉ่ง ถึงไม่แต่งก็น่ารัก” ไม่พูดเปล่าแต่ใช้สองนิ้วมาจิ้มแก้มฉันให้ยกยิ้มขึ้นสูงไปอีก
กรี๊ดด! ใครก็ได้เอาผู้ชายคนนี้ไปทิ้งที