ด้านหน้าห้องตรวจ
“ทำไมคุณไม่พามาตั้งแต่เมื่อวานล่ะครับ”
“เมื่อวานไม่มีไข้..มีแค่น้ำมูกฉันนึกว่าลูกไม่เป็นไร” ก้มมองคนตัวเล็กกว่าที่พยักหน้า จนเจ้าหน้าที่มารับตัวพากันขึ้นไปบนห้อง ภายในห้องพิเศษ พยาบาลสามคนพากันมาวัดไข้ อาบน้ำ ใส่สายน้ำเกลือ ฯลฯ มากมายเยอะแยะไปหมด อาเจาเห็นก็ให้รู้สึกทึ่ง ผู้คนในยุคนี้มีอะไรให้ตื่นเต้นอยู่ได้ตลอดจริงๆ สองคนที่นั่งด้วยกันอยู่ตรงโซฟาก็เริ่มพูดคุย พลางหันมองส้มเช้งเป็นระยะ “วันนี้เราไม่กลับบ้านเหรอ”
อาเจาส่ายหน้า “ไม่ล่ะครับ ไว้อาทิตย์หน้าค่อยกลับ” เห็นพยาบาลมองมาทางนี้บ่อยๆ ก็ถาม “เขามองเราทำไมครับ”
“ไม่รู้สิ มองเพราะฉันรูปหล่อมั้ง” ทิวไผ่แกล้งตอบหน้าตาย คนตัวบางด้านข้างก็หันมามองคนหลงตัวเองอย่างเขา ต่างฝ่ายต่างก็จ้องกัน และเป็นอาเจาที่กล้ายกมือขึ้นจับแก้มสากที่มีไรหนวดนิดๆ คนถูกจับอย่างทิวไผ่ถึงกับลมหายใจสะดุด แต่เขาก็ไม่ได้เบี่ยงหน้าหลบได้ยินเสียงพยาบาลแอบ กรี๊ดกร๊าด กันเบาๆ
อาเจามองสำรวจใบหน้าคมคายและนึกถึงตัวเองตอนที่นั่งมองกระจก “ใช่ครับ..คุณหล่อมากจริงๆ” ลดมือที่จับแก้มคนหล่อลงแล้วพูดต่อ “ทำไมผมกลับดูงดงามก็ไม่รู้สิ” เฮ่อออ ถอนหายใจเหนื่อยหน่าย
ทิวไผ่หัวเราะ “ฮ่าๆๆ อืมใช่..งดงามๆ” ก็ยังดีที่รู้ตัวเองล่ะนะ
“เอ่อ..ขอโทษนะคะคุณไผ่” พยาบาลเรียกขัดจังหวะคนทั้งคู่ “เรียบร้อยแล้วค่ะมีเรื่องอะไรก็ให้กดปุ่มตรงหัวเตียงได้เลยนะคะ” พยาบาลสาวคนหนึ่งบอก
“ครับ..ขอบคุณ” ลุกจากโซฟาเดินไปดูลูกสาวที่ตอนนี้นอนหลับสนิทมีสายน้ำเกลือติดอยู่บนหลังมือและสายยาต้านเชื้อไวรัสอีกหนึ่งถุง มากกว่ายี่สิบบนาทีที่ทั้งสองคนช่วยกันจัดแจงของใช้และเฝ้าดูลูก จนอาเจาเรียกเขาอีกครั้ง
“คุณไผ่ครับ ตอนนี้ส้มเช้งถึงมือหมอแล้ว ยังไงก็ให้ลุงพลไปส่งผมกลับก่อนดีไหมครับ”
ทิวไผ่เงียบไปครู่หนึ่งจนในที่สุดก็ตัดสินใจ “เรามาคุยกันหน่อยนะ” เดินนำอาเจาออกไปด้านนอกระเบียง เหม่อมองทิวทัศน์พร้อมถอนหายใจ “ฉันจะพูดสั้นๆ นะ…แม่ของส้มเช้งตายตั้งแต่แกยังเด็ก เมื่อก่อนฉันขอยืมแม่นมมาจากคุณแม่ที่ประจำอยู่ในกรุงเทพให้มาช่วยดูแลส้มเช้ง จนเมื่อเดือนก่อนแม่นมอุ่นไม่สบายฉันจึงส่งแกกลับไป”
“ครับ..แล้วยังไง??” เอียงคอน่ารัก
“คือตอนนี้ฉันอยากได้พี่เลี้ยงให้ส้มเช้ง อยากได้คนที่เข้ากับลูกฉันได้และรักลูกฉันไม่ใช่คนที่จ้องจะงาบฉัน” มองอาเจา “และฉันก็คิดว่าฉันเจอแล้ว”
อาเจาทบทวนในสิ่งที่ได้ยินก่อนจะยิ้ม ^^ “งั้นก็ ยินดีด้วยครับ” ในการเอียงคอมองอีกฝ่ายกับการกะพริบตาปริบๆ เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าของบริษัทถึงเอาแต่ทำหน้าขมวดใส่เขา "งั้นผมขอตัว"
“และพี่เลี้ยงคนนั้นก็คือเรานั่นแหละ” ยกนิ้วชี้ดันกลางหน้าผากเนียนใสให้หายงง
"ครับ" ชี้หน้าตัวเอง “ผมเหรอ” ทำหน้าเหรอหรา "เอ๊ะ..แต่ผมไม่ได้อยากงาบคุณนะ..รสชาติคุณคงจะขมน่าดูไม่น่ากิน” ส่ายหน้าไปมา
“อะไรน้ะ!” เดินเข้าไปประชิดอาเจา ทั้งๆ ที่เขาไม่ชอบให้ใครเข้าหา ก็ไม่รู้ทำไมพอได้ยินคนตัวเล็กตรงหน้พูดแบบนี้เขาถึงไม่ชอบ “ฉันขมงั้นเหรอ ไม่น่ากินงั้นเหรอ”
“ก็ใช่ไงครับ..ผมไม่งาบคุณแน่” ดันอกแกร่งให้ถอยห่าง 'เป็นบ้าอะไรเนี่ย' ในระหว่างที่อาเจากำลังหนี เสียงสวรรค์ก็ดังขัดจังหวะ
ตรู๊ดๆๆ ตรู้ดดๆๆ ทิวไผ่ครางในลำคอ “หึ” เขาล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบโทรศัพท์มากดรับซึ่งเป็นสายจากพลคนสนิท ตาคมมองตามหลังอาเจาที่เดินหนีเข้าไปในห้อง “อืม..ว่าไง”
“นายจะให้กลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านไหมครับ”
“เอามาสี่ชุดรวมชุดนอนด้วย” หันมองอาเจา “แล้วแวะไปเอาของอาเจามาด้วยเลย..แค่นี้แหละ” ติ้ด!!
ในห้องพักคนไข้ทิวไผ่เดินเข้าไปนั่งข้างเตียงตรงข้ามอาเจา เขาอธิบายเนื้อความเกี่ยวกับเรื่องพี่เลี้ยงต่อจากเมื่อครู่ “สรุปว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราไปอยู่บ้านกับส้มเช้งในฐานะพี่เลี้ยงเด็ก ไม่ต้องเข้าไปทำงานในบริษัทแล้ว”
อดีตขันทีผู้ถูกเปลี่ยนงานกระทันหันทำหน้ายุ่งเหยิง หากให้เทียบระหว่างงานเดินเอกสารกับงานเลี้ยงเด็ก เขาน่าจะชอบอย่างหลังมากกว่า จะติดก็แค่เรื่องย้ายของใช้ที่เพิ่งจัดไปเมื่อคืนนั่นล่ะ “แต่ว่า..ของ”
“จะให้คนไปขน วันนี้ก็นอนกับฉันที่โรงพยาบาลนี่เลย เงินเดือนก็จะเพิ่มให้อีกห้าพันตกลงมั้ย” อีกฝ่ายเงียบไปครู่ก็พยักหน้าตอบรับอย่างไม่ต้องคิดมาก
“ก็ได้ครับ” ^^
ร่างสูงลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปด้านนอกระเบียงอีกครั้งพร้อมกับต่อสายหาพนักงานคนสนิท 'ต้น' ตรู๊ดๆๆ ตรู๊ดๆๆ “ต้น..ตั้งแต่วันนี้ไปอาเจาจะไม่เข้าไปทำงานที่บริษัทแล้ว รับสมัครพนักงานบัญชีคนใหม่ได้เลย”
ต้นผู้ตื่นเต้นพูดอึกอักๆ อยากรู้ ใจอยากถามว่าอาเจาจะอยู่ตำแหน่งอะไร “เอ่อ..อ.แล้วห้องอาเจา” แกล้งถามไปเรื่องห้อง
“อ่อ..นายไปยืนรอพลที่หน้าห้องอาเจาแล้วบอกเขาว่า ให้ขนของในห้องอาเจาทั้งหมดไปไว้ที่บ้านไร่เขาจะมาดูแลส้มเช้ง” ติ้ดๆๆ กดวางสายทันทีไม่พูดต่อ
ต้นจับโทรศัพท์ในมือพร้อมกับอ้าปาก "ฮ่าๆๆ เสร็จแน่นอนเงินพนัน" เขาจิ้มเข้าไลน์กลุ่มพนักงานบริษัทแล้วพิมพ์ไปว่า ‘ประกาศ พนง.ที่ร่วมลงขันทุกคนตอนนี้อาเจาถูกเลื่อนขั้นไปเป็นพี่เลี้ยงน้องส้มเช้งแล้ว เตรียมเงินกันไว้ด้วยนะ’ ก่อนจะออกจากกรุ๊ปไลน์ที่ยังส่งเสียงดังไม่หยุด วิ่งไปคว้ามอ’ ไซค์ขี่ออกจากบ้านไปรอลุงพลหน้าห้องอาเจาทันที
&&&&
สามวันผ่านไป
อาเจาอยู่ในโรงพยาบาลกับส้มเช้งตลอดเวลา อาการของเด็กน้อยดีขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าวันนี้คงจะได้กลับบ้านไร่ ซึ่งทิวไผ่เองแม้จะมีงานที่ต้องทำแต่ก็ได้มานอนร่วมกับทั้งสองคนทุกคืน แต่ละคืนมักจะมีขนมขบเคี้ยวหลายอย่างติดมือมาด้วย แต่น่าแปลกที่ขนมบางอย่าง อาเจาทำท่าไม่รู้จัก
“นี่อะไร??” ยกนมข้นหวานชนิดหลอดขึ้นมาถามส้มเช้ง
“นมข้นค่ะ..ใส่ขนมปัง” ส้มเช้งหยิบขนมปังแผ่นขึ้นมาทำให้หม่าม๊าดู “หม่าม๊าดูส้มเช้งนะคะ”
ทั้งสองคนแม่ลูก (ปลอมๆ) นั่งคุยกันสอนกันที่โซฟา พยาบาลที่เดินเข้ามาวัดไข้ตรวจอาการในช่วงสองวันนี้เห็นกันจนชิน และเป็นที่รู้กันว่าหม่าม๊าของส้มเช้งนั้นเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ถึงแม้พยาบาลสาวโสดจะวางใจว่าอาเจาไม่ได้เป็นอะไรกับคุณทิวไผ่แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้เพราะอาเจาสวยมาก
“น้องอาเจาคะ” พยาบาลสาวโสดเรียกคนหน้าใส “น้องมีแฟนรึยังคะ” ยืนเช็คยาฆ่าเชื้อแล้วเนียนถาม
อาเจาเงยหน้าจากขนมปังตอบ “มีแล้วครับ”
“แฟนผู้ชายหรือผู้หญิงคะ” พยาบาลยังเนียนถามต่อ
ส้มเช้งทำหน้าไม่พอใจใส่พยาบาล “ก็ป่ะป๊าของส้มเช้งยังไงล่ะคะ..ส้มเช้งจะเอาหม่าม๊าคนเดียวไม่เอาคนอื่นด้วย ปีหน้าป่ะป๊ากับหม่าม๊าก็จะแต่งงานกันแล้วส้มเช้งจะไปบอกคนทั้งอำเภอเลย ต่อไปจะได้ไม่ต้องมีคนมามองป๊ากับม๊าของส้มเช้งอีก”
แกร่กๆๆ ครืดด! (เสียงประตูห้องเปิดออก) ตึ่กๆ ตึ่กๆ ทิวไผ่เดินเข้ามา ทันได้ยินว่าใครสักคนจะแต่งงาน “ใครจะแต่งงานฮึ เด็กอ้วน”
“ก็ป๊ากับม๊าไงคะ..จะแต่งปีหน้านี้ด้วยส้มเช้งตกลงแล้ว” คนพูดพยักหน้าเองหงึกหงัก
ทิวไผ่เหลือบมองอาเจาที่กำลังคร่ำเคร่งพยายามบีบนมข้นหวานหน้านิ่วคิ้วขมวด ‘ฟังคนอื่นเค้าคุยกันมั้ยน่ะ’ ก่อนจะหันมองพยาบาลที่ยืนหน้าแดงแกล้งมองยาบนเสาทั้งๆที่หูก็คงคอยเงี่ยฟังอย่างตั้งใจอยู่ “ม๊าเค้าตกลงรึยังล่ะ” ลูบผมนุ่มของลูกสาวแล้วลองถาม
“ตกลงอยู่แล้ว..ม๊ารักส้มเช้งจะตาย” เงยหน้าบอกป๊าแล้วหันมามองม๊า “ม๊ารักส้มเช้งกับป๊าใช่มั้ยคะ”
'อาเจาหันมองเด็กอ้วน'