คำปันที่กลับจากส่งผลไม้ได้จอดรถแล้วหันไปมองใบหม่อนที่ขึ้นเขามาตามตื้ออาเจาถึงบ้านถูกมัดอยู่กับต้นไม้ก็เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง แม้จะสงสัยว่าใครเป็นคนทำแต่ลึกๆ เขาก็ชอบใจ “ฮ่าๆๆๆ ไปนั่งทำอะไรอยู่ตรงนั้นน่ะนังหนูหม่อน” ยืนหัวเราะแต่ก็ไม่คิดจะเข้าไปช่วยแก้มัดหรือเอาผ้าออกจากปากเพราะเขามั่นใจว่าถ้าอีกฝ่ายได้เริ่มพูด คงน่ารำคาญจนต้องเดินหนีแน่ๆ ในระหว่างที่กำลังเดินเข้าบ้าน หางตาเหลือบไปเห็นรถครอบครัวราคาแพงกับผู้ชายต่างวัยสองคนยืนอยู่บริเวณนั้น ซึ่งไม่พ้นต้องเป็นใครส้กคนที่มารอพบเขาจวบจนเดินพ้นประตูเข้าไป
“สวัสดีครับคุณพ่อ” ทิวไผ่ยกมือไหว้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของอาเจา 'พ่อคำปัน'
คำปันประมวลผลในหัวตัวเอง คนที่ควรจะเรียกเขาว่าพ่อ นอกจากอาเจาแล้วก็น่าจะมีแค่...คนรักของลูก? แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องถามออกไปก่อนที่จะได้รู้เรื่องทั้งหมดตรงนี้ เพราะนอกจากผู้ชายหล่อเหลานี้แล้วภายในห้องรับแขกยังมีภรรยา ลูกชายและเด็ก? นั่งรวมอยู่ด้วย “สวัสดี...ฉันว่าฉันพอจะรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เราไปคุยกันในสวนหลังบ้านดีไหม” เขาเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินนำไปที่โรงเลี้ยงไก่ชนที่มีไก่หลากหลายสายพันธ์ุหลายขนาด เขาเดินหิ้วถังใส่อาหารไก่แล้วเปรยขึ้น “เป็นใคร มาทำอะไร ว่ามาสิพ่อหนุ่ม"
"ผมชื่อทิวไผ่ครับ เป็นเจ้าของบริษัทที่อาเจาไปทำงานอยู่ ผมมีลูกหนึ่งคนแต่ไม่มีเมียครับ"
"พูดแบบนี้คืออยากจะดองกับฉันสินะ..มีสินสอดอะไรให้ลูกฉันบ้าง” พ่อคำปันจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบพร้อมป้อนยาไก่
“ที่ดินไร่ทิวไผ่งามทั้งหมด” ทิวไผ่ตอบเสียงหนักแน่น เขาเว้นการพูดเรื่องบริษัทเอาไว้เพราะเขาจะยกมันให้เป็นสมบัติของส้มเช้งเมื่อลูกโต ส่วนเรื่องยอดเงินในบัญชีก็ให้เป็นเรื่องในอนาคต
“โอ้! ใจป้ำเหมือนกันนี่ แล้วมีกี่ไร่ล่ะ” พ่นควันออกจากปากเป็นทางยาว ตาคนเป็นพ่อมองหนุ่มรุ่นหลานซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้หลบสายตา
“เกือบสี่สิบไร่ครับแต่ผมขอเก็บบริษัทไว้ให้ส้มเช้งลูกสาวผม” พูดอย่างที่ใจคิด
คำปันถอนหายใจ “จริงๆ แล้วฉันก็ไม่ได้คิดจะขายลูกกินหรอกนะ..สิ่งที่ฉันอยากจะได้ก็คือความจริงใจและคนที่ไม่คิดจะมาหลอกลูกฉันมากกว่า” หันหน้ามองคนหนุ่มกว่านิ่งๆ “แค่นั้น ให้ได้มั้ย”
ทิวไผ่ไม่หลบสายตา “ครับ...ผมให้ได้”
เมื่อเห็นทิวไผ่รับคำ คำปันก็ลุกขึ้นแล้วเดินอ้อมเล้าไก่ไปทางด้านหลัง พื้นที่ตรงนี้มีต้นไม้ปกคลุมสองข้างทาง ตรงกลางเป็นทางเดินรถ แม้ไม่ใช่ถนนคอนกรีตแต่ก็เป็นเส้นทางที่ถือว่าสะดวกสลาย เดินไปได้ประมาณสิบนาทีก็พบทางเข้าไร่สตอเบอรี่ขนาดใหญ่กว้างขวางยาวสุดลูกหูลูกตา มีคนงานเดินกันขวักไขว่ คำปันผายมือ “นี่เป็นไร่สตอเบอรี่ยี่สิบไร่ เดินลงเขาไปอีกทางเป็นไร่ข้าวโพดสิบสองไร่ยังมีสวนส้มอยู่ที่ภูเขาอีกลูกประมาณสิบห้าไร่กับนาข้าวยี่สิบไร่ ทั้งหมดที่พูดนี่…” หันมองทิวไผ่นิ่งๆ “เป็นของฉัน…นี่คือสิ่งที่ทำให้ยัยหนูใบหม่อนตามติดอาเจาไม่ปล่อยจนถึงทุกวันนี้...เรื่องของแฟนเก่าลูก ไม่ใช่ว่าฉันจะดูไม่ออก”
ทิวไผ่สูดลมหายใจเข้าปอดอย่างเข้าใจในความหมายของพ่อคำปันแต่เขาก็ไม่ได้สนใจที่ดินทั้งหมดที่ภายภาคหน้ามันจะเป็นของอาเจานั่นเพราะเขาไม่ได้รู้เรื่องนี้มาก่อนที่เขาจะรักชอบอีกฝ่ายด้วยซ้ำ “ครับ ถึงแม้ตอนนี้ผมจะรู้แล้ว..มันก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของผมเปลี่ยนไป ผมรักที่เขาเป็นอาเจา รักที่เขาเป็นพนักงานบริษัท หากในวันข้างหน้าคุณพ่อจะยกที่ดิทั้งหมดนี้ให้คนอื่นหรือถ้าอาเจาจะเหลือแค่ตัวเปล่าๆ ผมก็ยังรักและเลี้ยงดูเขาได้สบาย..คุณพ่ออย่าห่วงเลยครับ”
คำปันหัวเราะเบาๆ ในลำคอกับคนที่อยากเรียกเขาว่าพ่อตา “นั่นน่ะสิเรามันก็ร่ำรวยอยู่แล้วนี่ ยังไงซะถ้ารักลูกฉันจริงก็จัดการ..ยัยเด็กนั่น แล้วทำอะไรๆ ให้มันจบซะ ทางฉันไม่ได้ขัดข้องอะไรเพราะฉันรู้ว่าอาเจาน่ะต้องมีคนดูแล” ปั่บๆๆ ตบบ่ากว้างแล้วเดินออกไปก่อน
&&&&
ต้นไม้หน้าบ้าน ตรงจุดที่ใบหม่อนถูกมัดอยู่ ทิวไผ่เดินไปนั่งยองๆ อยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายโดยที่ไม่ได้แกะเชือกหรือเอาผ้าที่อุดปากออก ในทางกลับกันเขายังยื่นข้อเสนอให้ “ฉันจะไม่พูดมากนะ…นี่เป็นเช็คหนึ่งล้านบาท รับแล้วลงดอยไปซะ แต่ถ้าเธอยังไม่ยอมถอยอีก ต่อให้ฉันต้องฆ่าเธอหมกดอยฉันก็จะทำ" เขามองดวงตาไหววูบของสาวน้อยตรงหน้าที่ถูกเขาขู่ แน่นอนว่าเขาไม่ได้เห็นใจอีกฝ่ายเมื่อเขารู้ว่าใบหม่อนไม่ได้รักอาเจาจริงๆ เหมือนกับเขาที่ตั้งใจจะลงหลักปักฐานรับอาเจาเป็นเมียอย่างออกนอกหน้า เพราะฉะนั้นแล้วเขาก็ควรจะตัดปัญหานี้ออกไปเสียแต่เนิ่นๆ "เธอกับอาเจาไม่ได้จดทะเบียนและไม่มีลูกด้วยกัน ถ้าเธอคิดที่จะไปฟ้องศาลก็คงต้องเสียค่าทนายไปฟรีๆ อีกอย่าง…เท่าที่ฉันเห็น พ่อแม่อาเจาก็ไม่ได้ชอบเธอสักเท่าไหร่ สู้เธอรับเงินหนึ่งล้านแล้วกลับกรุงเทพไปน่าจะดีกว่า”
ใบหม่อนคิดตามที่คนอายุมากกว่าพูด เธอค่อนข้างคล้อยตามเพราะตั้งแต่ที่เธอขึ้นดอยมาถึงบ้านอาเจาตั้งแต่วันจันทร์ ก็ไม่มีสักวันที่พ่อแม่อาเจาจะไม่ไล่เธอ และใช่ เธอรู้ว่าพ่อแม่ของอาเจารวยมาก แต่คำว่ารวยมันไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายรัก ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว สาเหตุสำคัญก็คือคืนสุดท้ายที่ทะเลาะกัน เธอเป็นฝ่ายขอเลิกกับอาเจาและนั่นคงเป็นเหตุผลที่อาเจาหายเงียบไปจนเธอต้องติดต่อมาหาเอง มันเป็นครั้งแรกที่เธอต้องเป็นฝ่ายง้อและเป็นครั้งแรกที่เธอมั่นใจว่าอาเจามีคนอื่น ซึ่งคนอื่นที่ว่าก็คือคนที่นั่งเสนอเงินหนึ่งล้านให้เธอตรงหน้า ไหนจะเรื่องอาเจาที่คงตัดใจจากเธอแล้วนั่นอีก หากยังดื้อไม่รับเงินก้อนนี้เผลอๆ เธออาจจะกลับไปมือเปล่าหรือไม่ก็ตายไปจริงๆ อย่างที่ถูกขู่ ใบหม่อนเงยหน้ามองแฟนใหม่ของอาเจา แล้วพยักหน้าหงึกหงัก เมื่อเขาเอาเศษผ้าออกจากปากเธอก็พูดขึ้น “ตกลงค่ะ” ‘กำขี้ดีกว่ากำตดล่ะวะ'
คำตอบนั้นตามมาด้วยคำสั่งที่ให้แก้มัดใบหม่อน เขายืนรอจนอีกฝ่ายจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก็สั่งไม้ทันที “ไม้ พาใบหม่อนไปส่งที่ท่ารถในอำเภอ” เขายื่นเช็คให้ไม้เป็นคนเก็บ “ส่งขึ้นรถแล้วค่อยเอาเช็คนี่ให้” จบเรื่องแล้วเขาจึงเดินเข้าบ้านไป