นับแต่นั้นมู่หรงเจี่ยนหายป่วยก็ได้ให้หลี่ซวงเจี้ยงย้ายมาอยู่ที่เรือนหลักร่วมกับเขาจนเวลาล่วงเลยผ่านมาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว เพราะเขารู้สึกว่าการได้มองเห็นนางทั้งยามตื่นและยามนอนช่างทำให้ใจอิ่มเอิบนัก
แต่หลี่ซวงเจี้ยงกลับยิ่งต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นไปอีก ด้วยรู้ว่าอารมณ์ของมู่หรงเจี่ยนนั้นประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้ายจึงเกรงว่าตนจะเผลอทำอะไรให้เขาไม่พอใจอีก นางพยายามเป็นสตรีนุ่มนวลยึดถือหลักจรรยาสตรีเพื่อปรนนิบัติเขาเป็นอย่างดี แต่มู่หรงเจี่ยนนั้นกลับไม่ให้ความร่วมมือกับการตั้งใจที่เป็นสาวใช้เรือนในที่ดีของนางเสียเลย!
อย่างเช่นยามนอนมู่หรงเจี่ยนจะให้นางนอนด้านในทั้งที่ปกติแล้วหลักสตรีที่หลี่ซวงเจี้ยงถูกอบรมมานั้น ตนควรนอนด้านนอกเพื่อต้องคอยตื่นมาปรนนิบัติยามบุรุษลุกขึ้นมาปลดเบากลางดึกหรือยามตื่นนอน
หลี่ซวงเจี้ยงจำได้ว่ามีอยู่วันหนึ่งนางพยายามรอให้มู่หรงเจี่ยนเข้าไปนอนบนเตียงฝั่งในก่อน รออยู่นานเขากลับไม่คิดขยับตัวเข้าไปแต่ทำเพียงนั่งจ้องหน้านางนิ่ง ๆ ที่ขอบเตียงเท่านั้น
สงครามประสาทของทั้งสองได้ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ แม้ฉากหน้าหลี่ซวงเจี้ยงจะดูเป็นคนเรียบร้อยหัวอ่อนแต่แท้จริงมู่หรงเจี่ยนรู้แล้วว่าตัวนางนั้นยังมีความดื้อรั้นดันทุรังไว้มากอยู่
เวลาผ่านไปเกือบถึงหนึ่งชั่วยามแต่ทั้งสองคนต่างพากันนั่ง จ้องตากันอยู่ขอบเตียงอย่างเงียบเชียบคล้ายกับไม่มีใครยอมใคร ยามนี้หลี่ซวงเจี้ยงรู้สึกง่วงบ้างแล้ว แต่นางยังนึกสนุกอยากรู้นึกว่า มู่หรงเจี่ยนที่ออกไปทำงานเหนื่อยมาทั้งวันจะอดทนนั่งต่อต้านนางได้นานแค่ไหนกัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลี่ซวงเจี้ยงก็ฉีกยิ้มที่แผ่ไปไม่ถึงดวงตาให้เขา
“ท่านอ๋องนี่ก็ดึกแล้วเข้านอนกันเถอะเจ้าค่ะ อีกอย่างท่านเองก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้วนะเจ้าคะ”
ตอนที่หลี่ซวงเจี้ยงยังไม่เข้ามาอยู่ในจวนอ๋องมีหลายครั้งที่ มู่หรงเจี่ยนต้องอยู่ตรวจเอกสารที่ห้องหนังสือดึกดื่นบางวันถึงเช้าก็มีจึงย่อมสามารถอดนอนได้เป็นอย่างดี
ในใจมู่หรงเจี่ยนรู้สึกขบขันกับความอยากเอาชนะเหมือนเด็กของหลี่ซวงเจี้ยงเพราะเขาเห็นได้ชัดว่านางนั้นพยายามฝืนถ่างตาตนเองไว้อยู่เพียงใด ด้วยคิดจะต้อนนางให้จนมุมให้ยอมแพ้ไปเสียจึงตีหน้านิ่งถามนางต่อ “หรือเจ้าง่วงแล้ว ?”
หลี่ซวงเจี้ยงแอบหยิกเอวตนให้หายง่วงได้ยินเขาถามเช่นนั้นนางรีบส่ายศีรษะฉีกยิ้มตอบ “ท่านอ๋องยังไม่นอน..ข้าจะกล้าง่วงได้อย่างไรกัน”
มู่หรงเจี่ยนจ้องนางด้วยสายตาคมกริบพร้อมยกยิ้มร้าย “ยามนี้นอกจากข้าจะไม่ง่วงไม่เหนื่อยแล้ว...ยังมีแรงเหลือเฟือพอที่จะทำออกแรงทำเรื่องอื่นได้อีก...ได้ยินว่าเจ้ายังไม่ง่วงนั่นนับว่าดียิ่ง.. ”
มู่หรงเจี่ยนพูดพร้อมยื่นฝ่ามือใหญ่เข้ามาลูบวนเบา ๆ ที่ลำคอขาวนวลของหลี่ซวงเจี้ยง ลูบไล้มาที่ไหปลาร้านูนงามก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนปัดผ่านไปที่ลาดไหล่แล้วใช้นิ้วตนเกี่ยวพันผมดำขลับนุ่มสลวยของนางอย่างหยอกล้อ
หลี่ซวงเจี้ยงหน้าเสียทันทีที่ได้ยินมู่หรงเจี่ยนตอบกลับมารวมทั้งสัมผัสจากปลายนิ้วของเขานางก็รู้แล้วว่ามู่หรงเจี่ยนหมายมั่นว่าจะทำอะไร นางตอบเขาเสียงตะกุกตะกัก
“ข้า..เพิ่งนึกได้ว่าพรุ่งนี้เช้าสวีกงกงให้เด็กมาบอกว่าจะมีช่างเข้ามาตัดอาภรณ์แต่เช้า...หากท่านอ๋องไม่ว่าอะไรข้าขอนอนก่อนนะเจ้าคะ”
ไม่รอให้มู่หรงเจี่ยนตอบกลับมาหลี่ซวงเจี้ยงก็ม้วนตัวยอมขยับตัวเข้าไปนอนด้านในแต่โดยดี พร้อมทั้งรีบใช้ผ้าห่มคลุมไปถึงหัวอย่างเสร็จสรรพ หลี่ซวงเจี้ยงได้คร่ำครวญในใจ 'นางแพ้ให้เขาอีกแล้ว!'
แต่พอคิดว่าตนยอมแพ้มู่หรงเจี่ยนเสีย ยังจะดีกว่าถูกเขาจับกินอย่างตะกละตะกลามจนไม่ได้หลับได้นอน จึงสามารถนอนหลับได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจอันใดอีก
เมื่อหลี่ซวงเจี้ยงใช้ผ้าห่มคลุมไปทั้งหัวแบบนั้นย่อมไม่สามารถมองเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนเจือขบขันจากอ๋องเจ็ดที่นางนึกหวาดกลัวนักหนา มู่หรงเจี่ยนส่ายหัวน้อย ๆ ให้กับเด็กน้อยเจ้าเล่ห์ผู้นี้ เขาลุกขึ้นไปดับตะเกียงแล้วขึ้นไปนอนบนเตียงพร้อมทั้งหลี่ซวงเจี้ยงมากอดไว้เงียบ ๆ
ตั้งแต่คืนนั้นที่หลี่ซวงเจี้ยงพ่ายแพ้เขา นางก็ไม่คิดจะดื้อดึงที่จะนอนเตียงฝั่งด้านนอกอีกต่อไป ทว่ามู่หรงเจี่ยนก็ไม่ได้ขัดขวางนางแต่เพียงแค่เรื่องนี้ หลี่ซวงเจี้ยงรู้สึกตนสบายเกินไปแล้ว เพราะยามนางคิดจะปรนนิบัติเขาดังเช่นที่สาวใช้เรือนในทั่วไปมู่หรงเจี่ยนกลับคอยพยายามทำอะไรบางอย่างให้นางต้องล้มเลิกไปเองเสียทุกเรื่อง
อย่างเช่นมู่หรงเจี่ยนไม่เคยปลุกให้นางมาปรนนิบัติเขาในตอนเช้า เพราะมู่หรงเจี่ยนเคยชินกับการทำอะไรด้วยตนเองมาตลอดตั้งแต่เด็กจนโตต่างจากบุรุษสูงศักดิ์ทั่วไปที่ต้องมีคนคอยปรนนิบัติ เขาจึงได้ปล่อยหลี่ซวงเจี้ยงได้นอนหลับให้เต็มที่พอถึงยามเฉินจึงให้คนปลุกนางลุกมากินข้าวเช้า
ไม่รู้ว่านั่นนับว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่เพราะวันใดที่หลี่ซวง-เจี้ยงตั้งใจแน่วแน่ว่าตนจะลุกมาปรนนิบัติเขาอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์เพื่อไปประชุมที่ท้องพระโรงยามเช้า คืนนั้นนางจะต้องถูกมู่หรง- เจี่ยนก่อกวนเสียจนตนไม่ได้หลับได้นอนจนทำให้หลี่ซวงเจี้ยงอ่อนเปลี้ยรู้สึกเพลียไปทั่วร่าง
อย่าว่าแต่ลุกขึ้นมาปรนนิบัติเขาแต่งตัวเลยแค่ขอให้นางตื่นมาแล้วไม่ขาสั่นนั้นก็นับว่าคืนนั้นมู่หรงเจี่ยนได้ออมแรงมากแล้ว
อีกทั้งยามที่ต้องกินข้าวมู่หรงเจี่ยนยังยืนกรานให้นางร่วมโต๊ะกับเขาด้วยทุกครั้ง ราวกับมู่หรงเจี่ยนเป็นฝ่ายลอกเลียนแบบเปลี่ยนมาเป็นคนปรนนิบัตินางแทน เขาคอยคีบอาหารที่นางชอบเอาอก เอาใจนางคล้ายกำลังขุนนางให้อ้วนเป็นลูกหมูตัวน้อย
ครั้งแรกที่ร่วมโต๊ะนางกินน้อยอย่างเกรงใจ เขาก็จะส่งสายตาเย็นชาทำเอานางกลัว หลี่ซวงเจี้ยงจึงต้องเลิกระมัดระวังเขายามกิน
เมื่อเห็นนางกินอาหารอย่างสุขใจมู่หรงเจี่ยนก็พลอยเจริญอาหารตามไปด้วยตรงกลางหว่างคิ้วของเขาจึงแฝงไปด้วยความอ่อนโยนหลายส่วน
วันนี้ก็เช่นกันหลี่ซวงเจี้ยงร่วมโต๊ะกินอาหารเช้ากับเขาเช่นทุกวันหลังจากกินข้าวเสร็จ ตอนแรกหลี่ซวงเจี้ยงจะนำผลลี่จือ มาปอกป้อนเขาแต่ก็ถูกตาเรียวคมคู่นั้นตวัดมองมาพร้อมบอกนางเสียงแข็ง
“ไม่ชอบกิน”
คนหน้าตายผู้นี้เขาไม่อยากกินก็แล้วไปเถิดแต่ทำไมมู่หรง- เจี่ยนต้องเป็นฝ่ายยื้อแย่งนางนั่งปอกผลลี่จือแล้วส่งเข้าปากนางลูกแล้วลูกเล่าแทนเสียอย่างนั้น
หากหลี่ซวงเจี้ยงไม่กินมู่หรงเจี่ยนก็มองมาอย่างขุ่นเคืองจนพลอยทำให้หลี่ซวงเจี้ยงเสียวสันหลังวาบต้องอ้าปากกินผลลี่จือที่เขาปอก รสชาติเปรี้ยวหวานเหล่านี้ทำให้หลี่ซวงเจี้ยงหลับตาพริ้มกินมันอย่างมีความสุข หลี่ซวงเจี้ยงรู้สึกว่าตนได้กำไรนัก
หลี่ซวงเจี้ยงคิดว่าหากอาจารย์หญิงที่เคยพร่ำสอนจรรยาสตรีให้นาง ได้รู้ว่าเวลาผ่านไปเพียงเดือนกว่าลูกศิษย์ดีเด่นที่อาจารย์เคยชื่นชม กลับกล้าให้อ๋องเจ็ดผู้สูงศักดิ์ของต้าเย่คอยรับใช้ประคบ- ประหงมปานนี้คงคิดอยากเอาไม้เรียวฟาดตนจนหลังลายแน่ แต่นางไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อยในเมื่อมู่หรงเจี่ยนเป็นฝ่ายดึงดันอยากจะป้อนนางเอง!
ริมฝีปากแดงวาวฉ่ำน้ำจากการกินผลลี่จือของหลี่ซวงเจี้ยงนั้นทำให้มู่หรงเจี่ยนรู้สึกราวกับหายใจไม่ทั่วท้องอยากเข้าไปขบกัดมันแรง ๆ ทว่าเขายังต้องไปทำงานจึงทำได้เพียงแต่หักห้ามใจตนเองเอาไว้เพราะกลัวจะเลยเถิดไป มู่หรงเจี่ยนพยายามเบือนหน้าหนีไม่มองปากจิ้มลิ้มนั้นเพราะยามป้อนนางคราใดนิ้วของตนต้องเผลอไปสัมผัสความนิ่มหยุ่นของริมฝีปากนาง ในหัวของเขากลับได้คิดไปถึงความหอมหวานละมุนที่ตนได้เคยลิ้มลองมาก่อน
เมื่อป้อนผลลี่จือผลในสุดท้ายในจานใส่ปากนางแล้วมู่หรงเจี่ยนก็ลุกขึ้นตรงเดินบึ่งรีบเร่งออกไปจากเรือนทันที