นับตั้งแต่หลี่ซวงเจี้ยงกล้ามีปากเสียงมู่หรงเจี่ยนวันนั้นนางก็ไม่ได้เจอเขาอีก ตลอดหกวันที่หลี่ซวงเจี้ยงไม่ได้พบหน้าเขา ชีวิตนางสงบสุขยิ่ง หลี่ซวงเจี้ยงดีใจนักที่นางไม่ต้องพบเจอกับหน้าน้ำแข็ง ไร้ความรู้สึกของเขา ไม่ต้องทนฟังวาจาร้ายกาจแกมเย้ยหยัน รวมทั้งไม่ต้องหวาดผวากับสายตาเย็นชาจนชวนให้อึดอัดจากเขาอีก
เพื่อไม่ให้คิดถึงบิดา คิดถึงสกุลหลี่ หลี่ซวงเจี้ยงจึงใช้เวลาว่างทั้งวันหมดไปกับการนั่งคัดตัวอักษร นางอยากรู้เหลือเกินว่ายามนี้เขาเป็นเช่นไร หลี่ซวงเจี้ยงรู้ว่าแผนการของบิดาในการชิงบัลลังก์ครานี้ได้พรากชีวิตของคนบริสุทธิ์ในเมืองหลวงไปไม่น้อย
แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบิดาบังเกิดเกล้าเลี้ยงดูนางมาตั้งแต่เยาว์วัยเมื่อคิดถึงเขาและชีวิตในอดีตนางก็อดไม่ได้ที่ขอบตาแดงเรื่อ
หลี่ซวงเจี้ยงสั่นศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้นออกไป ลวี่ซานและเถาอีรับใช้หลี่ซวงเจี้ยงมาสามวันแล้วเพียงแต่มองความงาม แม่นางน้อยผู้นี้ก็เผลอใจลอยอยู่หลายครั้ง
เรือนร่างอรชรรวมทั้งกิริยาแช่มช้อยนุ่มนวลแต่ยังแฝงกลิ่นอายดื้อรั้นจากตัวเด็กสาวทำให้นางงามล้ำอย่างมีชีวิตชีวาราวกับได้หลุดออกจากภาพวาด พวกนางสองคนเคยเป็นนางกำนัลอยู่ในวังหลวง พบเจอเหล่าสตรีสูงศักดิ์ที่เล่าลือว่างดงามมากนักมาแล้ว หากแต่ยังไม่พบใครที่งดงามจนจับใจคนเช่นหลี่ซวงเจี้ยง นางช่างทำให้สนม ในวังและคุณหนูจากสกุลสูงศักดิ์เหล่านั้นกลายเป็นบุปผาดาษดื่นเลยทีเดียว
พวกนางเห็นเจ้านายคนใหม่ผู้นี้ไม่แยแสอ๋องเจ็ดเลยสักนิดก็อดร้อนใจแทนไม่ได้ ด้วยรูปโฉมของหลี่ซวงเจี้ยง หากนางมีใจไยจะมัดใจท่านอ๋องเอาไว้ไม่ได้ สองสาวใช้สบตาสื่อความนัยบางอย่าง เถาอีรีบคุกเข่าต่อหน้านาง
“คุณหนู บ่าวได้ยินว่าท่านอ๋องต้องลมเย็นเมื่อวันก่อน จับไข้หนักนัก ทรงไอจนหอบแต่ยังทรงฝืนทำงานอยู่ ท่านนำน้ำแกงสักถ้วยไปเยี่ยมท่านอ๋องหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
เถาอีบอกหลี่ซวงเจี้ยง นางเพียงอยากให้คุณหนูผู้นี้มีความกระตือรือร้นขึ้นมาบ้าง แม้จะรับใช้หลี่ซวงเจี้ยงมาไม่นานนักแต่ก็รู้ถึงความมีเมตตาโอบอ้อมอารีของหญิงสาวต่อผู้ต่ำต้อยกว่า คุณหนูหลี่นั้นไร้เล่ห์เหลี่ยมร้าย ๆ ดั่งเช่นสตรีที่พวกนางเคยพบเจอในวังหลวง อีกทั้งคุณหนูหลี่เป็นเพียงแม่นางน้อยยังเยาว์วัยควรมองหาลู่ทางในอนาคตให้ตนเองเสียบ้าง
สองสาวใช้ต่างรวมหัวกัน ในเมื่อท่านอ๋องไม่มาหา พวกนางจะต้องทำให้คุณหนูหลี่ไปหาท่านอ๋องเสียเอง!
“ใช่เจ้าค่ะ ท่านอ๋องเป็นคนเคร่งครัดจริงจังกับงานมาก เมื่อครั้นเป็นองค์ชายถึงแม้พระองค์จะป่วยหนักเพียงใดก็ยังทรงทำงานต่อจนสลบไป พวกบ่าวเกรงว่าหากพระวรกายล้ำค่าของท่านอ๋องเป็นอะไรอีก เกรงว่าคนทั้งจวนอ๋องแห่งนี้จะรองรับโทสะของฝ่าบาทไว้ไม่ได้”
เมื่อเถาอีร้อง ลวี่ซานก็รีบรับ พวกนางพูดความจริงเพียงเจ็ดส่วน แต่ก็ได้พูดเสริมเกินจริงอีกสามส่วน เพราะหวังจะกระตุ้น หลี่ซวงเจี้ยงให้ได้
หลี่ซวงเจี้ยงได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วงามนิ่วหน้าเล็กน้อย อ๋องวิปริตผู้นั้นนอกจากดีแต่โหดร้ายกับผู้อื่นแล้ว เขายังโหดร้ายกับตัวเองถึงปานนี้เชียวหรือ หลี่ซวงเจี้ยงคิดแล้วจึงพูดขึ้นอย่างลังเล
“ท่านอ๋องของพวกเจ้าชังน้ำหน้าข้านัก หากเห็นหน้าข้าไม่แน่ว่าอาการของเขาอาจจะทรุดลงกว่าเดิม”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรคุณหนู ท่านอ๋องใส่ใจท่านไม่น้อยเพียงแต่ทรงปากหนักก็เท่านั้นเจ้าค่ะ” เถาอีรีบส่ายหน้ากล่าวแย้งผู้เป็นนาย
“อืม งั้นข้าจะไปดูเขาเสียหน่อยแล้วกัน”
หลี่ซวงเจี้ยงหัวเราะน้อย ๆ แม้นางจะไม่เชื่อคำของลวี่ซานและเถาอีสักนิด แต่ด้วยกลัวว่ามู่หรงเจี่ยนจะใช้เรื่องนี้มาเหน็บแนมนางอีกจึงได้แต่พยักหน้ารับคำตามน้ำกับสาวใช้ไป เห็นหลี่ซวงเจี้ยงยอมรับคำ สองสาวใช้ก็ลอบสบตากันอย่างดีใจ
“บ่าวจะไปเตรียมน้ำแกงเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ” ลวี่ซานพูดแล้วลุกขึ้นอย่างรีบร้อน
“ไม่ต้อง ข้าจะไปเคี่ยวยาให้ท่านอ๋องเอง”
“เอ๋ ?…ท่านเคยเข้าครัวด้วยหรือเจ้าคะ งานในครัวแบบนั้นจะให้คุณหนูลงมือได้อย่างไร”
เถาอีฉงนแม่นางน้อยจากตระกูลเสนาบดีอันดับหนึ่ง เคยต้องเข้าครัวทำงานพวกนี้ด้วยหรือ
“ข้าเคยไปอยู่กว่างหลิงเพื่อปรนนิบัติท่านย่ายามนางป่วยหนักมาแล้ว แค่น้ำแกงถ้วยเดียวไม่หนักหนาอะไรหรอก”
ผู้ใดจะไม่รู้เรื่องราวของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหลี่ที่แยกตัวออกจากจวนไปอยู่กว่างหลิงมาสิบห้าปี แต่แล้วนางป่วยหนักมานานก็สิ้นใจไปเมื่อต้นปีนี้ ก่อนจากไปก็ได้คุณหนูหลี่ไปอยู่เยี่ยมไข้ไม่ห่างถึงสองปี สองสาวใช้ได้ฟังดังนั้นก็ยอมให้หลี่ซวงเจี้ยงเข้าครัว ส่วนพวกนางได้แต่มองหลี่ซวงเจี้ยงเคี่ยวน้ำแกงอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น
หลี่ซวงเจี้ยงตัดสินใจเคี่ยวน้ำแกงตะพาบเมื่อเคี่ยวเสร็จจนข้นได้ที่นางจึงบดผลเหอเถาละเอียดลงไปเพื่อช่วยบำรุงประสาทและเพิ่มกลิ่นหอมของน้ำแกง
หลังจากหลี่ซวงเจี้ยงจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อยก็ยกน้ำแกงใส่ปิ่นโตมาถึงเรือนหลักที่อ๋องเจ็ดอยู่ เห็นสวีกงกงยืนอยู่หน้าเรือนจึงทักทายเขา
“กงกง ข้านำน้ำแกงตะพาบมาถวาย ท่านอ๋องสะดวกให้ข้าพบหรือไม่”
“คุณหนูหลี่ ยามนี้ท่านอ๋องอยู่ในห้องหนังสือ ท่านรอประเดี๋ยวเดียวข้าจะเข้าไปเรียนท่านอ๋องให้เอง”
สวีกงกงผู้เฒ่าได้ฟังดังนั้นก็ยินดีนัก เขาฉีกยิ้มตอบนางอย่างอ่อนโยน สวีกงกงเป็นคนส่งข่าวให้ลวี่ซานกับเถาอีรบเร้าคุณหนูหลี่มาเยี่ยมท่านอ๋องเอง พอได้เห็นนางยอมมาเขาก็ปลื้มใจเหลือเกินที่เป้าหมายของตนบรรลุแล้ว
เพราะที่ผ่านถึงจะท่านอ๋องจะไม่ไปพบหน้าแม่นางน้อยคนนี้ แต่ก็สั่งให้คนสืบข่าวหลี่ซวงเจี้ยงเสมอ สามวันมานี้เขาต้องเจอกับคำถามพวกนี้จนเหนื่อยหน่าย
'ยามนี้นางทำอะไร'
'นางนอนหรือยัง'
'นางกินข้าวหมดไหม'
'ลวี่ซานกับเถาอีกำชับนางให้ทายาหรือยัง'
สวีกงกงรับใช้มู่หรงเจี่ยนตั้งแต่ยังเยาว์จึงเดาใจเขาได้หลายส่วน ท่านอ๋องของเขาอยากพบหน้าคุณหนูหลี่ทุกเช้าค่ำหากแต่ทรงปากหนักทั้งยังถือทิฐิก็เท่านั้น
เห็นมู่หรงเจี่ยนยังจดจ่อมองฎีกาอยู่บนโต๊ะอย่างเคร่งขรึมแต่แววตากลับเลื่อนลอย สวีกงกงก็รีบเดินเข้ามาเพื่อทูลความแก่เขา
“ท่านอ๋อง คุณหนูหลี่มาขอเข้าพบท่านขอรับ”
“นางมาทำอันใด” มู่หรงเจี่ยนประหลาดใจ เขาตอบสวีกงกงด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยขัดกับในใจเขาจะรู้สึกตื่นเต้นไม่เบา นาง มารน้อยผู้นั้นจะเล่นแง่อะไรอีกกัน
“บ่าวให้คนไปบอกสาวใช้ของนางว่าท่านป่วยหนัก นางจึงลงมือเคี่ยวน้ำแกงเองเลย แม่นางผู้นี้ช่างละเอียดลออนัก"
มู่หรงเจี่ยนถลึงตาใส่ขันทีคนสนิท เขาป่วยอันใดกันแม้จะรู้สึกเมื่อยล้าครั่นเนื้อครั่นตัวเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับต้องบอกว่าป่วยหนักกระมัง
พอได้ยินเขา'ป่วยหนัก'นางถึงยอมถ่อออกจากเรือนมาได้ จึงไม่ได้เอาความอะไรกับสวีกงกงอีก มู่หรงเจี่ยนควงพู่กันในมือเล่นสองสามทีพร้อมกับมองผ่านสวีกงกงไปยังประตูอยู่ชั่วครู่แต่ก็ไม่เอ่ยอะไรออกมา
“ท่านอ๋องจะให้นางเข้ามาเลยหรือไม่” สวีกงกงเร่งเร้า
“ให้นางรอไปสักเค่อก่อน”
“ท่านอ๋อง อากาศข้างนอกหนาวนัก คุณหนูหลี่เองก็บอบบางปานนั้น บ่าวกลัวว่าหากยืนรอนานเกินไปจะจับไข้เอาได้”
สวีกงกงรู้ว่าผู้เป็นนายอยากเจอแม่นางน้อยใจนะขาดแต่ปากหนักนักเขาจึงต้องหาทางลงให้ท่านอ๋อง
สายตาราวกับรู้ทันของสวีกงกงก็ทำให้มู่หรงเจี่ยนขบฟันส่งสายตาเย็นชาไปให้ขันทีคนสนิท เขาแค่นเสียงเย็นตอบกลับไปว่า “หากเจ้าเป็นห่วงนางนักก็ไปบอกให้นางเข้ามา”
หลี่เจี้ยงรออยู่ไม่นานก็เห็นขันทีร่างท้วมผู้นั้นวิ่งออกมา ยามนี้ท่านอ๋องของเขาทำงานหามรุ่งหามค่ำ แถมต้องลมเย็นจากการไปรับฎีกาลับจากชายแดนแม้อ๋องเจ็ดจะแข็งแรงเพียงใดก็ถูกมองออกถึงความอ่อนล้าได้ เขาจึงได้แต่ให้หลี่ซวงเจี้ยงมาพบท่านอ๋องของเขาสักครั้ง
“คุณหนูหลี่เชิญด้านนี้”
เมื่อมาถึงหน้าห้องหนังสือ หลี่ซวงเจี้ยงสูดหายใจเข้าออกเพื่อไล่ความประหม่าไปเล็กน้อย ห้องหนังสือเขาใหญ่โตเต็มไปด้วยคัมภีร์หลายร้อยเล่มถูกจัดเรียงกันบนชั้นอย่างเป็นระบบ บ่งบอกถึงนิสัยเจ้าระเบียบเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังของผู้เป็นเจ้าของห้อง บนผนังแขวนภาพวาดและอักษรเขียนวิจิตรงดงาม
มู่หรงเจี่ยนมองตามนางด้วยสายตาเรียบเฉย วันนี้นางสวมชุดฟ้าอ่อน เกล้าผมเรียบง่าย สวมเสื้อคลุมตัวใหญ่สีขาวเพิ่มความน่าเอ็นดูให้นางหลายส่วน
เห็นสายตาของอ๋องเจ็ดหลี่ซวงเจี้ยงก็อดประหม่าไม่ได้เขาจ้องนางราวกับว่านางมีชนักความผิดติดหลังเอาไว้อยู่
“คารวะท่านอ๋อง ได้ยินว่าท่านอ๋องต้องลมเย็น ด้วยกลัวว่าท่านจะจับไข้ข้าจึงเคี่ยวน้ำแกงมาให้เจ้าค่ะ” หลี่ซวงเจี้ยงพูดพร้อมวางปิ่นโตลงยกถ้วยน้ำแกงออกเตรียมช้อนให้เขา
“อ้อ”
มู่หรงเจี้ยนขานรับแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ ยังคงมองหน้านางต่อไป เขามองตานางก็รู้ว่านางโกหก หากไม่ได้สวีกงกงและเหล่าสาวใช้ทั้งสองคอยรบเร้ามีหรือนางจะยอมมาหาเขาได้
หลี่ซวงเจี้ยงเห็นสีหน้าเขาคล้ายกับมีคำว่า ‘ข้ารับรู้แล้ว แล้วอย่างไรต่อ’ นางจึงฝืนใจคุยกับเขาอีกเล็กน้อยแล้วคิดหาวิธีปลีกตัวออกไป!
“น้ำแกงนี้ท่านอ๋องกินตอนที่ยังร้อนเถิด เห็นท่านยุ่งอยู่ เช่นนั้นข้าไม่รบกวนแล้ว” หลังจากนางพูดจบก็กำลังคารวะลาเขา
ได้ฟังดังนั้นมุมปากและหางคิ้วมู่หรงเจี่ยนก็กระตุกขึ้นมา น่าชังนัก ปากแดง ๆ ของนางหากไม่เอ่ยคำโกหกก็ต้องเอ่ยวาจาให้เขาไปไม่เป็น