มู่หรงเจี่ยนหยุดลูบปิ่นแล้วมองหน้านางเงียบ ๆ ไม่ได้เอ่ยตอบอะไรกลับไป
เห็นมู่หรงเจี่ยนไม่ได้ตอบอะไรมาแต่นั่นก็ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไร นางรู้สึกดีใจนักที่ได้เจอเขาที่นี่ แม้จะน้อยใจไปบ้างที่มู่หรงเจี่ยนยังคงเฉยชาแต่ก็ยังฝืนใจปั้นหน้ายิ้มแย้มอ่อนหวานละมุนถามไถ่เขาต่อไป
“ฟังหว่านคารวะพี่เจ็ด ท่านมาซื้อปิ่นหรือเจ้าคะ”
สตรีที่เอ่ยเสียงหวานทักทายมู่หรงเจี่ยนนั้นก็คือ ไป่ฟังหว่าน บุตรีบุญธรรมขององค์หญิงใหญ่ที่เป็นอาหญิงของเขา
องค์หญิงใหญ่แต่งกับราชบุตรเขยไป่และยังรักใคร่กันยิ่งมานานหลายปี แต่ก็ยังคงไม่มีบุตรเป็นของตนเองเสียที จึงได้รับบุตรีของน้องชายราชบุตรเขยไป่มาเป็นบุตรบุญธรรมของตนแทน
แต่แม้จะได้ชื่อว่าเป็นเพียงบุตรีบุญธรรมแต่องค์หญิงใหญ่ก็ รักและประคบประหงมนางราวกับบุตรีแท้ ๆ ตน ถึงกับทูลขอบรรดาศักดิ์จากอดีตฮ่องเต้ให้นางมียศศักดิ์เป็นถึง 'ท่านหญิงเฝยเหอ'
ฟังหว่านพูดแล้วหางตาก็ไปเหลือบมองปิ่นหยกขาวในมือของ มู่หรงเจี่ยน ปิ่นนั้นนับว่าช่างงดงามนักแต่นางยังไม่ทันได้มองต่อ เขาก็ส่งเสียงตอบรับการทักทายของนางในลำคอแล้วเก็บปิ่นไว้ในอกเสื้อ
นางชมชอบพี่เจ็ดตั้งแต่เยาว์วัยแม้เขาจะเมินเฉยต่อนางแต่ ฟังหว่านจวบจนอายุเลยสิบแปดปีก็ยังไม่คิดที่จะยอมตบแต่งกับผู้ใดเพราะมาดมั่นที่จะได้เป็นเพียงชายาเอกของมู่หรงเจี่ยน
“ปลายเดือนจะเป็นวันเกิดครบอายุสิบเก้าปีของข้า เมื่อครู่เห็นปิ่นนั้นในมือท่านมันงดงามยิ่ง พี่เจ็ดมอบให้ข้าได้หรือไม่”
ฟังหว่านพูดเสียงออดอ้อนด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ใบหน้างามช้อนสายตามองไปที่มู่หรงเจี่ยนอย่างแฝงความนัย
ฟังหว่านเห็นเขาจดจ้องมา นางก็เขินอายนัก ผู้คนต่างยกย่องให้นางเป็นสตรีที่งดงามทั้งรูปโฉมและจรรยาอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ตั้งแต่ยังเด็กนางฝึกฝนตนเองอย่างหนักเพื่อให้เพียบพร้อมเหมาะสมกับเขา
ไป่ฟังหว่านคิดในใจหรือพี่เจ็ดซื้อปิ่นให้นางในวันเกิดจริง ๆ
มู่หรงเจี่ยนไม่พูดอะไรตอบคล้ายกับต้องการปล่อยให้นางพูดเพ้ออยู่ฝ่ายเดียว เขาคิดจะเดินจากไปให้พ้นจากคำพูดที่น่ารำคาญเหล่านี้
แต่พอเดินไปไม่ทันไร ก็ได้ถูกไป๋ฟังหว่านที่เผลอตัวถึงกับดึงชายเสื้อเอาไว้พูดด้วยเสียงอ่อนหวานแกมออดอ้อนที่ไป่ฟังหว่านมั่นใจว่าหากบุรุษทั้งเมืองหลวงได้ฟังไม่ว่านางจะร้องขอสิ่งใดย่อมต้องเสาะหามากองไว้ตรงหน้า
“ได้หรือไม่เจ้าคะพี่เจ็ด.. ”
“ปล่อยมือ”
ไป่ฟังหว่านชะงักกับสายตาคมกริบเยียบเย็นทั้งน้ำเสียงไม่ สบอารมณ์ของมู่หรงเจี่ยน ยามนี้นางได้รู้ตัวว่าตนเผลอล่วงเกินเขาไปเสียแล้วจึงรีบปล่อยมือทันที
สำหรับไป่ฟังหว่านเพียงแค่มู่หรงเจี่ยนตอบเสียงเยือกเย็นและใช้สายตาเย็นชามองมา นางก็เจ็บช้ำน้ำใจพอแล้ว หากแต่เสียงทุ้มต่ำไร้อารมณ์ของมู่หรงเจี่ยนที่ตามมาหลังจากนั้นราวกับฟ้าผ่าลงกลางศีรษะของไป๋ฟังหว่าน
เขาจึงหยุดชั่วครู่ใช้สายตาเย้ยหยันมองนางอย่างครู่หนึ่งใช้สายตาเฉยเมยเพ่งพิศตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าของนาง
“จวนสกุลไป่ข้นแค้นปานนั้นหรือแม้แต่ปิ่นอันเดียวยังจ่ายเบี้ยหวัดซื้อเองไม่ได้ ส่วนเจ้าคิดว่าตนมีดีอันใดถึงกล้าร้องขอปิ่นจากข้ากัน” มู่หรงเจี่ยนย้อนถามเสียงเย็นพร้อมยิ้มเยาะแล้วเดินออกไปทันที
สายตาเย้ยหยันแกมดูถูกของมู่หรงเจี่ยนทำให้นางอับอายและเสียใจเหลือเกิน ฟังหว่านจิกผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น นางย่อมได้ยินเรื่องที่มู่หรงเจี่ยนทูลขออภัยโทษแก่หลี่ซวงเจี้ยงจากฮ่องเต้แล้วรับนางเข้าจวน
คราแรกฟังหว่านคิดแค่ว่ามู่หรงเจี่ยนนึกสนุกเห็นหลี่ซวงเจี้ยงเป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงที่มีไว้เพื่อบำเรอกามเป็นของเล่นชั้นต่ำใน อุ้งมือของเขาเท่านั้น ทว่าตัวนางนั้นคิดไม่ถึงว่าพี่เจ็ดถึงกับคิดจะให้ปิ่นล้ำค่ากับบุตรีนักโทษกบฏเช่นนาง
แม้ไป่ฟังหว่านจะไม่เคยเห็นหน้าหลี่ซวงเจี้ยงมาก่อน แต่มายามนี้นางกลับนึกชิงชังสตรีจิ้งจอกผู้นั้นเข้ากระดูก หลี่ซวงเจี้ยงนางแพศยาชั้นต่ำ กล้ายั่วยวนพี่เจ็ดของข้าหรือ! ไป่ฟังหว่านเผยสีหน้าเคียดแค้นมาดร้ายในหัวนางคิดหาสารพัดวิธีที่ทำให้หลี่ซวงเจี้ยงตายตกไป
สาวใช้ข้างกายเห็นท่านหญิงของนางเผยสีหน้าอาฆาตข้างนอกจวน หากมีผู้พบเห็นย่อมไม่ดีต่อชื่อเสียงที่ได้สั่งสมมาหลายปีจึงได้แตะข้อมือเพื่อเตือนไป่ฟังหว่านเบา ๆ
ไป่ฟังหว่านรู้สึกตัวก็สะกดอารมณ์กรุ่นโกรธเมื่อครู่จึงเปลี่ยน สีหน้ารวดเร็วกลายเป็นสตรีอ่อนหวานนุ่มนวลเช่นเคย แล้วถามเรื่องเครื่องประดับอย่างอื่นกับหลงจู๊ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
แต่มีหรือที่หลงจู๊ช่างสังเกตผู้นี้จะมองไม่เห็น เหตุการณ์เมื่อครู่ที่เขาเห็นเต็มสองตาว่าท่านอ๋องเจ็ดได้หักหน้าท่านหญิงผู้นี้อย่างไรนี่มันเป็นดั่งคำที่ว่า 'บุปผางามร่ำร้องหา หากแต่ตัวธารากลับไร้ใจ'
อีกทั้งเขาได้เห็นสีหน้าอำมหิตของไป่ฟังหว่านก็ได้แต่โอดครวญในใจ ดูท่าแล้วสตรีสูงศักดิ์ผู้นี้แม้จะงดงามภายนอก หากแต่น่ากลัวยิ่งกว่าอสรพิษเสียอีก
ปลายยามเซิน มู่หรงเจี่ยนก็กลับมาถึงจวนแล้ว เขาลูบอกเสื้อเบา ๆ เปิดประตูเข้าไปในห้องนอนคิดเพียงแต่ว่าหลี่ซวงเจี้ยงคงกำลังรอเขาอยู่ในนั้น หากเห็นหน้านางแล้วจะบรรจงปักปิ่นให้ลงผมนาง ตระกองกอดกินเต้าหู้นางแล้ววิงวอนขอให้นางปักถุงหอมให้ตนคืนบ้างคิดแล้วมุมปากก็ยกขึ้นแฝงด้วยรอยยิ้ม
เพียงแต่ภาพที่เห็นกลับทำให้เขาผิดหวัง ห้องนอนม่านมุ้งยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย กลิ่นหอมโชยอ่อน ๆ ชวนสดชื่นของกำยานที่ถูกจุดเอาไว้ เสื้อผ้าถูกพับวางเรียงรายอย่างดีเพื่อรอเขาสวมใส่หลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จ น้ำร้อนถูกเติมจนเต็มอ่าง ทุกอย่างถูกเตรียมไว้รอเขาเพียบพร้อมดั่งทุกวัน แต่ว่าไร้ซึ่งเงาร่างของนางที่มารอรับเขา!
หว่างคิ้วของมู่หรงเจี่ยนเริ่มปรากฏรอยย่นจากความไม่ชอบใจ
เขาได้รีบเรียกสวีกงกงมาถาม จึงได้ความว่าหลังจากเขาออกจากจวนไปตอนเช้า หลี่ซวงเจี้ยงก็กลับเรือนนางยังไม่กลับมาจนถึงตอนนี้
มู่หรงเจี่ยนคิดในใจอย่างร้อนรนนางโกรธ หรือเป็นอะไรของนางกันแน่
เขาจึงรีบเร่งไปเรือนของหลี่ซวงเจี้ยง
เมื่อมาถึงมู่หรงเจี่ยนก็เห็นลวี่ซานยกสำรับที่ยังเต็มไปด้วยอาหารไร้ร่องรอยของการกินจึงเอ่ยปากถามนาง
“คุณหนูของพวกเจ้าทำอะไรอยู่”
เห็นมู่หรงเจี่ยนถามเสียงแข็ง ลวี่ซานแม้เกรงกลัวแต่ย่อมถือโอกาสบอกความจริงเขา
“ท่านอ๋อง คุณหนูหลี่จนตอนนี้ยังไม่กินข้าวกลางวันเลยเพคะ นางจดจ่ออยู่กับแต่การคัดอักษร เพ่งเล็งที่ปลายพู่กันตั้งแต่เช้าที่ท่านอ๋องออกไป บ่าวกับเถาอีเกลี้ยกล่อมนางเพียงใดก็ไร้ความหมายนางเพียงจิบชาไปสองสามจอกเท่านั้นเพคะ”
มู่หรงเจี่ยนได้ยินดังนั้นก็มุ่นคิ้วบอกให้ลวี่ซานไปอุ่นสำรับมาแล้วกระชากเปิดประตูเรือนเสียงดัง หลี่ซวงเจี้ยงได้ยินเสียงแล้วตกใจจนสะดุ้งกำลังหันหน้าไปเอ่ยดุสาวใช้ทั้งสองก็เห็นหน้าครึ้มทะมึนของมู่หรงเจี่ยน
“คัดอักษรจนป่านนี้ยังไม่ยอมกินอะไร คิดจะสอบเป็นจ้วงหยวนหรืออย่างไร” เขายืนกอดอกแค่นเสียงพูดแล้วใช้สายตาเยียบเย็นมองนาง
“ข้าเพียงแต่คัดเพลินจนลืมเวลาเท่านั้นเจ้าค่ะ”
ไร้เสียงตอบรับกลับมาจากมู่หรงเจี่ยน หลี่ซวงเจี้ยงเห็นเขายังโกรธขึงหน้าทะมึนอยู่ จึงคิดว่าหรือเขาเคืองที่นางไม่รู้สถานะตนยังคัดอักษรราวกับยังเป็นคุณหนูสกุลหลี่ไม่รีบไปปรนนิบัติอยู่รอเขากลับจวนจึงได้พูดต่อ
“ท่านอ๋อง ข้าเลอะเลือนแล้วลืมว่าตนเป็นเพียงสาวใช้แต่ยังคัดอักษรอีก แถมยังไม่ดูเวลาไม่รีบกลับเรือนหลักเพื่อรอปรนนิบัติท่านกลับจวน ข้ามีความผิด ขอท่านอ๋องลงโทษข้าเถิดเจ้าค่ะ”
พอหลี่ซวงเจี้ยงพูดจบก็คล้ายกับว่าคำพูดเหล่านั้นของนางถูกพ่นมาเพื่อปลุกปั้นโทสะของมู่หรงเจี่ยให้ปะทุมากกว่าเดิม ยิ่งเห็นนางกำลังคุกเข่าลงกับพื้นมู่หรงเจี่ยนก็ช้อนตัวอุ้มนางไปที่เตียงทันที
เพราะจนจะมืดค่ำนางก็ยังไม่กินข้าวกลางวัน พอเขารู้จึงนึกเป็นห่วงนางจนพาลโมโหปานนี้แล้ว แต่นางกลับดีนักคิดเพียงว่าเขาโกรธเพราะนางไม่เจียมตนละเลยหน้าที่ ทั้งยังดื้อดึงคิดแต่ว่าตัวเองยังเป็นสาวใช้เขาอยู่อย่างนั้น
นางเลอะเลือนจริงดั่งที่ว่าตลอดเดือนกว่า ๆ ที่อิงแอบแนบชิดนางไม่รู้เชียวหรือว่าเขาถนอมนางปานใดความห่วงหาที่เขามีให้นางรับรู้ไม่ได้เชียวหรือ
สาวน้อยโง่งมทั้งยังดื้อรั้นผู้นี้ เห็นทีต้องโดนอบรมบ้างเสียแล้ว!