เสียงกลองย่ำบอกเวลายามเว่ย กับเงาร่างบางตั้งตรงตระหง่านของหลี่ซวงเจี้ยงที่นั่งจดจ่อกับสิ่งที่อยู่บนโต๊ะหนังสือ
มู่หรงเจี่ยนอนุญาตให้นางสามารถเข้าไปใช้ห้องหนังสือเขาได้ เพียงแต่มีหรือนางจะกล้าไปยุ่งย่ามที่นั่น หากวันใดที่หนังสือหรือเอกสารราชการสำคัญเขาเสียหายขึ้นมา มีหวังปีศาจร้ายนั่นได้มาฉีกทึ้งเนื้อนางแน่
มู่หรงเจี่ยนให้คนมาแจ้งว่าวันนี้ติดงานที่กองทัพทำให้ปลีกเวลามากินข้าวกลางวันกับนางไม่ได้ หลี่ซวงเจี้ยงจึงใช้เวลากลับมาคัดคัมภีร์ที่เรือนหลังน้อย ๆ ของนางอย่างสงบ
นางคัดอักษรอย่างเพลิดเพลินตั้งแต่เช้าลืมแม้กระทั่งเวลา กินข้าว
สองสาวใช้ลวี่ซานกับเถาอีต่างพากันคะยั้นคะยอให้หลี่ซวงเจี้ยงกินข้าวหากแต่สมาธิทั้งหมดของนางยังคงจดจ่ออยู่ปลายพู่กันตรงหน้า
สกุลหลี่ของนางนับว่าเป็นตระกูลบัณฑิตสืบทอดตำแหน่ง อัครเสนาบดีใหญ่ฝ่ายซ้ายมาหลายชั่วอายุคน ตั้งแต่เยาว์วัยหลี่ซวง-เจี้ยงโดนอบรมกิริยามารยาทจากบิดาและอาจารย์หญิงที่บิดาเชิญมาอย่างเข้มงวดทำให้หลี่ซวงเจี้ยงพลอยมีพรสวรรค์และชื่นชอบทางด้านวาดภาพและการเขียนอักษรโดยเฉพาะอักษรสิงซู เพราะโดนเคี่ยวเข็ญมาตั้งแต่ยังเล็กหากเวลาใดนางเขียนไม่งามก็จะโดนอาจารย์ตีมือจนบวมเป่งไปทั้งวัน หรือแม้กระทั่งตอนที่นางยังคัดไม่ถึงร้อยจบบิดาจะไม่ยอมให้นางกินข้าว
ด้วยเหตุนี้หลี่ซวงเจี้ยงจึงติดนิสัยเสียเหล่านั้นมา ถ้าหากนางยังคัดอักษรไม่เสร็จนางจะยังนั่งนิ่งคัดต่อไปเรื่อย ๆ ราวกับหุ่นกระบอกไม่ยอมลุกไปกินดื่มอย่างเด็ดขาด เถาอีและลวี่ซานจึงได้แต่ถอนหายใจเพราะจนปัญญากับนิสัยดื้อรั้นของเจ้านายผู้นี้
ณ ที่บัญชาการกองทัพใหญ่ มู่หรงเจี่ยนยามนี้กำลังนั่ง นิ่งขรึม
สีหน้าเคร่งเครียดเพราะคดียักยอกเสบียงที่จะส่งไปให้กองทัพชายแดนที่กำลังรบกับชาวซยงหนู ทั้งยังมีหลักฐานไม่แน่ชัดที่ชี้ไป ยังสกุลเซี่ยของไทเฮาว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องในการยักยอกครั้งนี้ เซี่ยไทเฮาคือมารดาของอ๋องแปด พระนางคือฮองเฮาในรัชกาลของอดีตฮ่องเต้
เซี่ยไทเฮาและอดีตฮ่องเต้เป็นดั่งเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน ฝ่าบาทองค์ก่อนจึงโปรดปรานองค์ชายแปดอย่างมากถึงขนาดแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้องค์ชายแปด มู่หรงชวี่ เป็น กว่างหลิงอ๋องหรืออ๋องแปด ครองศักดินาที่เมืองกว่างหลิงในวันเดียวกับแต่งตั้ง มู่หรงผิงฮ่องเต้ปัจจุบันเป็นรัชทายาท
มู่หรงเจี่ยนหวังเพียงว่ามู่หรงชวี่จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแท้จริงเพราะถึงแม้มู่หรงชวี่จะมีนิสัยรักสนุกเจ้าสำราญเอ้อระเหยดุจสายลม แต่ถ้าหากเพียงฮ่องเต้มีหลักฐานชัดเจนพอที่จะบ่งชี้ได้ว่ามู่หรงชวี่ได้เกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วยเพราะแค้นใจที่บิดารักใคร่กว่างหลิงอ๋องมากในวัยเยาว์ ฮ่องเต้ผิงหวาย่อมใช้โอกาสนี้ที่จะไม่เก็บกว่างหลิงอ๋องและสกุลเซี่ยไว้เป็นหอกแทงใจพระองค์อีก
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามหลังประชุมกับเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊เสร็จ
มู่หรงเจี่ยนกับรองแม่ทัพคนสนิทอย่างเว่ยต้งก็ประลองยุทธ์เพื่อคลายความหนาวเย็นกันเล็กน้อย ที่บัญชาการกองทัพหลวงตั้งอยู่ชานเมืองอากาศจึงหนาวกว่าอยู่ในกลางตัวเมืองฉางอันอยู่บ้าง
เว่ยต้งเลือกเป็นฝ่ายจู่โจมมู่หรงเจี่ยนก่อนต่างฝ่ายต่างผลัดกันรุกผลัดกันตั้งรับ คราแรกมู่หรงเจี่ยนต่อให้เว่ยต้งถึงสามกระบวนท่า ครั้นเห็นลูกน้องซื่อบื้อผู้นี้ล้มเขาไม่ได้สักทีก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง
เวลาไม่เช้าแล้วใกล้ยามเซินที่เขาต้องกลับจวนเต็มทีเขาหาได้มีเวลามาเล่นกับเจ้าบ้านี่ทั้งวัน มู่หรงเจี่ยนจึงถีบตัวขึ้นด้วยทวงท่าพลิ้วไหวแล้วสะบัดมือจู่โจมฟาดท้ายทอยอีกฝ่ายอย่างเฉียบขาดก่อนจะกระชากคอเสื้อทุ่มเว่ยต้งให้นอนแผ่หลาหมดอาลัยตายอยากกองอยู่พื้นทันที
เสียงกริ๊งดังขึ้นจากการที่มีวัตถุบางอย่างหล่นออกจากอกเว่ยต้งแต่เว่ยต้งหาได้สนใจไม่ยามนี้เขาหอบแฮ่กแฮ่กดังราวกับสุนัข ตะโกนร้องอย่างขุ่นเคือง
“ท่านอ๋องรีบร้อนเกินไปแล้ว ไหนทรงบอกจะออมมือให้กระหม่อม!”
มู่หรงเจี่ยนไม่ตอบอะไรกลับทำเพียงจัดเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อยเข้าที่อย่างไม่สะทกสะท้าน
“เฮอะ โบราณถึงได้บอกว่าวาจาบุรุษล้วนเชื่อไม่ได้ ยิ่งจากบุรุษสูงศักดิ์เช่นท่านแล้วยิ่งไม่ควรเชื่อเด็ดขาด โอยกระดูกของกระหม่อมร้าวไปทั่วทั้งร่างแล้ว” บุรุษบึกบึนสูงเกือบแปดฉื่อเช่นเว่ยต้ง แต่ยามประลองยุทธ์กับมู่หรงเจี่ยนคราใดต้องได้โหยหวนปานหมูโดยเชือดบนเขียงก็ไม่ปาน เหล่าทหารรอบข้างได้ยินต่างไม่ได้พากันสนใจ เรียกได้ว่าชินชาเสียมากกว่า เพราะหาใช่เว่ยต้งว่าที่เป็นถึงรองแม่ทัพมีฝีมืออ่อนด้อยแต่เป็นเพราะท่านอ๋องเจ็ดที่แข็งแกร่งจนเกินจะรับมือไหว
“นั่นอะไร” มู่หรงเจี่ยนย่นคิ้วก่อนจะชี้นิ้วไปที่สิ่งของบางอย่างที่หล่นออกมาจากอกของเว่ยต้ง ปิ่นสตรี ?
เว่ยต้งเห็นท่านอ๋องชี้ไปยังปิ่นนั้นจึงรีบวิ่งไปเก็บทันทีพร้อมทั้งเป่าและใช้มือค่อย ๆ ปัดเศษดินออกจากปิ่นอย่างทะนุถนอม
“นี่มันปิ่นปักผมล้ำค่าจากร้านเหมยอวี้เชียวนะท่านอ๋อง กระหม่อมใช้เบี้ยหวัดเกือบทั้งเดือนเพื่อซื้อมันให้ฮูหยินของกระหม่อม”
มู่หรงเจี่ยนฟังแล้วมุ่นคิ้วใช้เบี้ยหวัดทั้งเดือนเพื่อซื้อปิ่นให้ ฮูหยินคิดในใจว่าเว่ยต้งผู้นี้ไม่ต้องกินต้องดื่มหรืออย่างไร
“เหตุใดต้องแพงปานนั้นด้วย ?”
“โธ่ ท่านอ๋องท่านนี่ไม่รู้อะไรเสียแล้ว ร้านเหมยอวี้เป็นร้านเครื่องประดับที่ดีที่สุดในเมืองหลวงได้ยินว่าแม้แต่ราชนิกุลหญิงบางท่านยังถึงกับเคยมาจับจอง เพราะนางปักถุงหอมให้กระหม่อม กระหม่อมจึงให้ปิ่นกับนางตอบ ยามแต่งนางนั้นกระหม่อมยากจน ข้นแค้นยามนี้พอมีเบี้ยหวัดย่อมคิดอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดให้กับนาง”
เว่ยต้งเชิดหน้าอย่างภาคภูมิ มองอ๋องเจ็ดอย่างเยาะเย้ยราวกับมีคำว่า ‘ท่านไม่มีฮูหยินจะไปเข้าใจอะไร!’
มู่หรงเจี่ยนมองหน้าลูกน้องคนสนิทอย่างเฉยเมยตอบเสียงเรียบแล้วเดินจากไป
“ไร้สาระ”
เว่ยต้งไม่คิดจะถือสาหาความกับคำพูดคนตายด้านทั้งยังไร้คนข้างกายอย่างท่านอ๋อง ไร้สาระอันใดกันเขาเพียงแค่รักใคร่ถนอมของฮูหยินตนเท่านั้น!
หลังจากมู่หรงเจี่ยนเดินจากมาก็คิดในใจเงียบ ๆ ถุงหอมแทนใจย่อมคู่ปิ่นปักผมแทนการเคียงคู่นิจนิรันดร์
ฉับพลันในหัวก็ปรากฏภาพตนกำลังปักปิ่นลงผมดำเงางามของหลี่ซวงเจี้ยงมุมปากยกยิ้มบางเบา
ปากบอกการกระทำของเว่ยต้งไร้สาระแต่ตนกลับเลือกเปลี่ยนเส้นทางจากกลับจวนทันทีเป็นควบม้าตรงดิ่งไปยัง 'ร้านเหมยอวี้' แทนเสียแล้ว
ถึงร้านเหมยอวี้ มู่หรงเจี่ยนกระแอมอย่างเคอะเขินเข้าไปมองดูปิ่นแล้วเลือกด้วยตัวเองทีละอันอย่างเงียบ ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนค่อนข้างเก็บตัวหลงจู๊ของร้านจึงไม่รู้ว่านี่คือชินอ๋องมู่หรงเจี่ยนหรืออ๋องเจ็ดที่มีชื่อเสียงเลื่องลือผู้นั้น
หลงจู๊คารวะมู่หรงเจี่ยนแล้วสังเกตดูการแต่งกายด้วยชุดสีดำเรียบง่ายของอีกฝ่าย หากแต่เนื้อผ้าที่ชายผู้นี้สวมใส่กลับประณีตงดงามที่ดูเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าล้ำค่า อีกทั้งยังมีรังสีความสูงส่งบางอย่างที่เปล่งประกายออกมาจากตัว ชายหนุ่มผู้นี้ต้องเป็นผู้สูงศักดิ์สักคนในฉางอันแน่นอน!
คิดแล้วเขาก็วิ่งไปหลังร้านนำปิ่นงามล้ำค่าออกมาทันที
มู่หรงเจี่ยนหยิบวางปิ่นหลายรอบพลิกไปพลิกมาอยู่อย่างนั้น
ปิ่นพวกนี้งามก็จริงหากแต่เขายังไม่มองเห็นว่ามันคู่ควรที่จะปักอยู่บนเรือนผมของหลี่ซวงเจี้ยงแม้แต่น้อยหรือเขาควรจะให้พ่อบ้านไปรื้อคลังสมบัติในจวนออกมาให้นางเลือกปิ่นที่ถูกใจเองเสียเลย ครุ่นคิดอยู่ไม่นานเสียงหลงจู๊ก็ทำให้เขาหลุดจากภวังค์
“คุณชาย เชิญท่านชมปิ่นหยกดอกอวี้หลันบริสุทธิ์เนื้อดีนับเป็นของล้ำค่าที่สุดของร้านเรา พอจะถูกใจท่านหรือไม่ขอรับ” หลงจู๊ประคองกล่องปิ่นให้เขาดู
มู่หรงเจี่ยนมองมันเงียบ ๆ ปิ่นหยกขาวมันวาวดูสูงส่งทระนงดั่งหิมะในวันซวงเจี้ยงย่อมเหมาะสมกับความงามล้ำค่าดั่งเซียนของนาง สลักลายดอกอวี้หลันงดงามแทนความขาวบริสุทธิ์ทั้งยังเจือกลิ่นหอม
มู่หรงเจี่ยนมองปิ่นด้วยสายตาล้ำลึกในหัวกลับคิดไปถึงผิวกายขาวเนียนนุ่มหอมกรุ่นทั้งในและนอกร่มผ้าของนางช่างเหมือนผิวสัมผัสเย็นสบายของปิ่นนี้นัก ปิ่นหยกอวี้หลันยังมีตุ้งติ้งประดับหยกสลักสีชมพูดั่งสีหน้านางยามเขินอายเมื่อโดนเขาหยอกเอิน มุมปากบางยกขึ้นบางเบา ปิ่นนี้ไม่เลวจริง ๆ
“อืม คิดบัญชีแล้วไปรับเงินกับพ่อบ้านที่จวนอ๋องเจ็ด”
หลังจากพินิจปิ่นงามเขาก็ตกปากรับทันที โดยไม่สนใจอาการตกตะลึงพรึงเพริดของหลงจู๊เลยสักนิดชายหนุ่มที่ลูบไล้ปิ่นหยกอยู่นานราวกับกำลังนึกถึงสตรีที่พึงใจ ถึงกับเป็นอ๋องเจ็ดผู้เย็นชาเหี้ยมโหดสั่งฆ่าคนไม่กะพริบตาผู้นั้นจริงหรือ!
“พี่เจ็ดหรือเจ้าคะ ?” เสียงใสของสตรีดังกังวานมาจากด้านหลังของมู่หรงเจี่ยน
มู่หรงเจี่ยนชะงักเล็กน้อยเพราะเสียงเรียกนั้นช่างคุ้นหูประหลาดก่อนจะหันหน้าไปยังทิศทางที่สตรีผู้นั้นยืนเรียกเขาอยู่ พอมู่หรงเจี่ยนหันหน้าไปพบก็รู้ว่าที่แท้ก็เป็นนาง..