วันที่ห้าหลี่ซวงเจี้ยงตื่นมาเพราะได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมของผู้คุมที่กำลังพยายามเตรียมสถานที่ให้เรียบร้อย พอลอบเงี่ยหูฟังจึงได้ความว่าเหล่าผู้คุมชายหญิงในคุกศาลต้าหลี่ได้รับรายงานมาว่าจะมีผู้สูงศักดิ์เข้ามาเยือนในคุกแห่งนี้
พวกเขาต่างก็เตรียมการต้อนรับกันอย่างฉุกละหุกตั้งแต่ยามเหม่า เพื่อไม่ต้องการทำให้ผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นพบเจอสิ่งที่ทำให้ระคายตา นางแอบสอดส่องดูพวกเขาอย่างเงียบเชียบได้จนยามเฉิน ก็มีผู้คุมหญิงร่างท้วมคนเดิมที่เดินมาส่องชามโจ๊กนางทุกเช้า
“โจ๊กเน่าในชามนี้ท่านกินหมดเลยหรือ” ผู้คุมหญิงพูดกับ
หลี่ซวงเจี้ยงด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักทั้งยังหลบสายตา
หลี่ซวงเจี้ยงพยักหน้ารับพร้อมมองผู้คุมหญิงอย่างประหลาดใจว่าวันนี้อีกฝ่ายเป็นอันใดกัน เพราะสามสี่วันที่ผ่านมาผู้คุมหญิงผู้นี้เพียงเข้ามามองไม่ได้ไถ่ถาม หากโจ๊กยังเหลือก็จะมองผ่านไปอย่างเพิกเฉยเท่านั้น
“ทำไมหรือ ?”
“ท่านอย่าถือโทษเอาความกับข้าได้หรือไม่ เป็นข้าที่ละเลยไม่ยอมเปลี่ยนชามใหม่ให้ท่านเอง” ผู้คุมหญิงพูดพร้อมกับคุกเข่าลงหน้าห้องขังของนาง
หลี่ซวงเจี้ยงลุกจากเตียงด้วยความตกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปกะทันหันของผู้คุมหญิง นางรีบเดินไปใช้มือลอดผ่านกรงขังแล้วประคองตัวผู้คุมหญิงขึ้น หลี่ซวงเจี้ยงรีบส่ายหน้าพูด
“ไม่ใช่ความผิดท่านผู้คุมหรอก ยามนั้นเป็นข้าที่ไม่ยอมกินเอง หากเปลี่ยนไปก็ต้องเน่าเสียเปล่า ๆ”
ผู้คุมหญิงรู้สึกผิดนัก กอปรกับยามที่ได้มองรอยยิ้มจริงใจไร้ซึ่งความโกรธถูกระบายบนใบหน้างดงามเหนือสามัญของคุณหนูหลี่ ตาของนางถึงกับพร่ามัว เวลานี้ตนเข้าใจคำว่างามล่มเมืองงามเสียจนผู้มองต้องลืมหายใจไปชั่วขณะนั้นเป็นเช่นไร
ช่างงดงามบริสุทธิ์แม้กระทั่งอยู่ในคุกใต้ดินทรุดโทรมแสงตะวันสาดส่องเพียงเลือนราง ยังไม่อาจกลบและทำลายความงามของคุณหนูหลี่ลงได้เลย
ผู้คุมหญิงจึงได้รู้แล้วว่าเหตุใดทางเบื้องบนจึงกำชับหนักหนาว่าไม่อาจให้ผู้คุมชายเฉียดกายเข้าใกล้ห้องคุมขังแยกเดี่ยวของคุณหนู หลี่
“ความจริงวันนี้ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกท่าน”
“เชิญท่านผู้คุมกล่าว”
“คุณหนูหลี่ท่านได้รับการทูลขออภัยโทษเป็นกรณีพิเศษ…และท่านอ๋องเจ็ดเป็นผู้ทูลขอการอภัยโทษครั้งนี้” ผู้คุมหญิงพูดพร้อมกับมองดวงหน้างามของหลี่ซวงเจี้ยงที่เริ่มซีดเผือด
“อีกไม่ช้าท่านอ๋องจะมาเยือนที่นี่ด้วยตัวเอง…เกรงว่าจะมารับท่านไปที่จวนด้วยเลย คุณหนูหลี่ท่านเตรียมตัวให้พร้อมเถิด”
ผู้คุมหญิงพูดกับหลี่ซวงเจี้ยงด้วยความเห็นอกเห็นใจก่อนจะเดินจากไป เพราะมีผู้ใดในเมืองหลวงไม่รู้บ้างว่าท่านอ๋องเจ็ด
มู่หรงเจี่ยนและอดีตอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่เหิงเป็นดั่งน้ำกับไฟไม่อาจอยู่ร่วมกันได้
ยามนี้หลี่เหิงเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำให้แก่ท่านอ๋องเจ็ดแล้ว บุตรีของศัตรูตกอยู่ในเงื้อมมือของท่านอ๋องเช่นนี้ ได้แต่วาดหวังว่า
หลี่ซวงเจี้ยงจะอยู่รอดปลอดภัย
หลังจากได้ยินคำพูดของผู้คุมหญิงในหัวของหลี่ซวงเจี้ยงมีแต่เสียงอื้ออึงดังระงมไม่ขาดสาย เพราะบิดาหมายมั่นอยากให้นางเป็นฮองเฮาของต้าเย่ หลี่ซวงเจี้ยงจึงจำเป็นต้องท่องจำเรื่องราวของผู้คนในสกุล ‘มู่หรง’ ทุกคน
ยิ่งไปกว่านั้น ‘มู่หรงเจี่ยน’ เป็นเพียงผู้เดียวที่บิดากำชับหนักหนาว่าไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ หากวันใดที่นางได้ขึ้นเป็นฮองเฮาต้องรีบหาทางกำจัดคนผู้นี้ให้เร็วที่สุด
ศึกชิงบัลลังก์ครั้งนี้บิดานางเลือกเดิมพันฝั่งองค์ชายสาม ในขณะที่อ๋องเจ็ดมู่หรงเจี่ยนยามเป็นองค์ชาย ได้เลือกเข้าฝ่าย
องค์รัชทายาท ก่อนจะได้กลายมาเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของต้าเย่
หากแต่วันนี้คนที่บิดาชิงชังนักหนากลับเป็นฝ่ายยื่นมือเข้าช่วยเหลือนาง หลี่ซวงเจี้ยงสับสนมึนงงไปชั่วขณะ กระทั่งเหล่าบรรดาญาติพี่น้องหรือขุนนางที่เคยมีสัมพันธ์อันดีกับบิดา ต่างแสดงตนชัดเจนว่าได้ตัดสัมพันธ์ และขอไม่ยุ่งเกี่ยวกับสกุลหลี่ ด้วยกลัวติดร่างแหไปกับคดีกบฏทั้งยังกลัวฮ่องเต้เคลือบแคลงใจในความภักดี
คราแรกได้ยินว่าตนได้รับการทูลขออภัยโทษนางรู้สึกซาบซึ้งใจนักแต่พอได้ยินว่าเป็นมู่หรงเจี่ยนเป็นผู้ขอศีรษะนางหนักอึ้งฉับพลัน เพราะเขาอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับสกุลของนาง ทั้งยังมีความแค้นฝังลึกเป็นศัตรูตัวฉกาจกับบิดา
หากกล่าวถึงชื่อเสียงคนผู้นี้ มู่หรงเจี่ยนเป็นชินอ๋องในฉางอัน ผู้เดียวที่ยังอยู่ได้อย่างปลอดภัยอีกทั้งเขายังเป็นผู้กุมกองกำลังทัพใหญ่ทั้งหมดของต้าเย่ แม้จะมีรูปโฉมหล่อเหลาดั่งหยกสลัก แต่ใครต่างก็รู้ว่าอ๋องเจ็ดนั้นเป็นคนเย็นชาโหดเหี้ยมเลือดเย็นที่สุด
หลี่ซวงเจี้ยงไม่ได้รู้จักหรือเคยพบเห็นเขามาก่อน จึงไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงเลือกไว้ชีวิตนาง เขาเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์กลับเข้ามายังคุกต้าหลี่เพื่อมารับบุตรสาวศัตรูอย่างนาง แต่หากนี่เป็นทางรอดเดียวของนาง ไม่ว่าอย่างไรนางก็อยากจะไขว่คว้ามันเอาไว้
เกือบหนึ่งชั่วยามที่หลี่ซวงเจี้ยงนั่งเหม่อบนเตียงมองภาพของคุกขังแยกเดี่ยวแห่งนี้ ราวกับต้องการสลักมันเข้าไปในส่วนลึกของความทรงจำของตนว่านางต้องไม่กลับมาที่แห่งนี้อีก
หลี่ซวงเจี้ยงเหม่อได้ไม่นานหางตานางก็เหลือบมองไปเห็นเงาด้านหลังสูงใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่ง
คนผู้นั้นสวมอาภรณ์สีดำเนื้อผ้าดีปักลายกิเลน บนศีรษะสวมกวานทองคำ ทั่วร่างของเขามีแต่รังสีความสูงศักดิ์และความน่าเกรงขามแผ่ซ่านออกมา
เพียงแค่มองแผ่นหลังเขาก็สามารถทำตนรู้สึกราวกับตนต่ำต้อยเช่นมดปลวกไม่อาจเอื้อมถึงเขาได้ นี่จะต้องเป็นอ๋องเจ็ดหรือมู่หรงเจี่ยนผู้นั้นไม่ผิดแน่
คิดได้ดังนั้นหลี่ซวงเจี้ยงก็ลนลานผุดลุกขึ้นจากเตียงรีบเดินมาที่หน้าประตูห้องขัง โน้มตัวคารวะเขาอย่างเต็มรูปแบบ
“คารวะท่านอ๋อง หม่อมฉันขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงทูลขออภัยโทษให้เพคะ”
แต่ไร้เสียงตอบรับจากบุรุษสูงศักดิ์ผู้นี้ หลี่ซวงเจี้ยงสัมผัสได้เพียงความกดดันที่ออกมาจากร่างเขา รู้สึกราวกับมีคนคอยบีบคอนางเอาไว้
“เพียงแต่ครั้งนี้เกรงว่าพระองค์ต้องทรงเหนื่อยเสียเปล่า หม่อมฉันเป็นเพียงบุตรีนักโทษไม่มีสิ่งใดที่จะตอบแทนพระองค์ได้”
หลี่ซวงเจี้ยงซาบซึ้งใจที่มู่หรงเจี่ยนช่วยนาง แต่นางรู้ดีว่าเขาเป็นคนฉลาดอีกทั้งยังคำนวณผลได้ผลเสียมาตลอด คนเช่นมู่หรงเจี่ยนไหนเลยจะช่วยคนโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
ยังคงไร้เสียงตอบรับจากมู่หรงเจี่ยนเช่นเคย เขาไม่แม้แต่หันมามองหน้านางด้วยซ้ำ ยามนี้หลี่ซวงเจี้ยงเหงื่อกายรินไหลจากความ ตึงเครียด
นางคุกเข่าราวกับรอคำพิพากษาจากเขา
ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้ยินเสียงทุ้มต่ำเยียบเย็นจากมู่หรงเจี่ยนดังขึ้นมา “เจ้าพูดปกติเถอะ กระดากหู”
“เจ้าค่ะ”
หลี่ซวงเจี้ยงนึกฉงน เขาโตมาในวังหลวงย่อมได้ยินคำพวกนี้ตั้งแต่เล็กจนโต ไฉนถึงมาพึ่งกระดากหูตอนนางพูดกันเล่า แต่ถึงอย่างไรนางก็กลืนความสับสนเหล่านั้นลงไป ได้แต่ตกปากรับคำเขา
“อ้อ ส่วนเรื่องจะให้เจ้าตอบแทนข้าอย่างไร ข้าย่อมคิดไว้แล้ว ข้าอายุยี่สิบห้าแต่ยังไร้สตรีเคียงข้าง จึงนึกสนุกอยากได้บุตรสาวศัตรูมาไว้คลายกำหนัดเล่นก็เท่านั้น”
หลังจากที่พูดจบเขาก็เดินจากไปทันที ทิ้งไว้แต่หลี่ซวงเจี้ยงที่ นิ่งงันมองตามเงาร่างของเขาเคลื่อนตัวออกไป ที่แท้มู่หรงเจี่ยนเพียงช่วยนางเพราะยังเหยียบย่ำบิดาของนางยังไม่สาแก่ใจ แต่ทั้งที่รู้เช่นนั้นแล้วตัวนางจะยังทำสิ่งได้เล่า
หวังเพียงว่าเมื่อเขาเล่น 'ของเล่น' ชิ้นนี้จนสาแก่ใจแล้วจะยินยอมปล่อยนางเป็นอิสระ ทว่าตัวหลี่ซวงเจี้ยงไม่เคยรู้เลยว่าจวบจนผ่านไปหลายปีให้หลังมู่หรงเจี่ยนผู้นี้ก็ไม่มีความคิดที่จะปล่อยนางไปแม้แต่ครั้งเดียว