ตอนที่ 10: ทางเข้าสู่ใจกลางหมอกคราม

1148 Words
ตอนที่ 10: ทางเข้าสู่ใจกลางหมอกคราม การเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจซ่อนเร้น หลังจากจัดการกับอสูรเขี้ยวพิษ, การเดินทางก็ดำเนินต่อไป แม้จวินเสวียนจะยังคงร่าเริง แต่สำหรับนาง, การต่อสู้ครั้งนั้นไม่ได้เพียงแค่จัดการอสูร, แต่มันปลดปล่อยปฏิกิริยาทางอารมณ์บางอย่างที่ร่างกายใหม่ของนางไม่เคยรู้จัก นางพยายามเดินให้ห่างจากจวินเสวียนเล็กน้อย เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือความใกล้ชิดใด ๆ ที่จะกระตุ้นความรู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้า แต่มันก็ยากนักในป่าที่เต็มไปด้วยหมอกและภูมิประเทศที่ขรุขระ ขณะที่ก้าวข้ามรากไม้ขนาดใหญ่, เท้าของนางพลันลื่นไถลลงไป นางไม่ได้ล้ม, แต่สูญเสียการทรงตัวเพียงเล็กน้อย—ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยตั้งแต่เริ่มฝึกวิชา จวินเสวียน ที่เดินอยู่ข้างหน้าพลันหันกลับมาอย่างรวดเร็ว ด้วยสัญชาตญาณของการเป็น 'สหาย' เขาเอื้อมมือมา คว้าที่แขนของนาง ทันที เพื่อประคองไม่ให้นางหกล้ม สัมผัสที่อบอุ่นและแข็งแรงของมือจวินเสวียนที่บีบกระชับอยู่บนแขนของนาง ทำให้พลังชี่ทั้งหมดในร่างของนางเหมือนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ผิวของนางที่ถูกสัมผัส... นางรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟอ่อน ๆ ไหลผ่าน! ความรู้สึกนี้รุนแรงกว่าการดื่มสุราชำระดวงจิตหลายเท่า! หัวใจที่แปรเปลี่ยนไปเป็นหัวใจของสตรีเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง! จวินเสวียนเห็นนางนิ่งไปก็รู้สึกกังวล “โอ๊ะ! ขอโทษครับ! ท่านเป็นอะไรไหมครับสหายใบ้? ท่านดูหน้าแดง ๆ นะครับ? ท่านไม่สบายเหรอครับ? หรือว่าพิษหมอกมันร้ายแรงเกินไป?” นางรีบดึงแขนออกจากมือของเขาอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าถูกไฟลวก ใบหน้าของนางตอนนี้แดงก่ำจนแทบจะมองเห็นได้ชัดภายใต้หมอก นางต้องหันหลังให้จวินเสวียนทันที แล้วยกมือขึ้นกุมใบหน้าของตัวเองไว้ “ไม่จริง! นี่คืออะไรกัน? นี่คือความอ่อนแออะไร? ทำไมข้าถึงควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้!?” นางพยายามใช้สมาธิเพื่อควบคุมอารมณ์ที่สั่นไหว, แต่ทุกครั้งที่นึกถึงรอยยิ้มของจวินเสวียน หรือสัมผัสที่แขน, สมาธิของนางก็พลันแตกซ่าน จวินเสวียนเดินมาใกล้, พยายามจะแตะบ่าของนางอีกครั้ง “สหาย... ท่านเป็นอะไรรึเปล่าครับ? ท่านตัวร้อนมากเลยนะ...” นางสะดุ้งสุดตัว นางรีบหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วเขียนข้อความลงบนพื้นดินด้วยลายมือที่สั่นเทาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน: 'ข้า... สบายดี... อย่า... เข้ามาใกล้' จวินเสวียนอ่านข้อความนั้นด้วยความประหลาดใจ “โอ้! ขอโทษครับ! ข้าคงทำท่านรำคาญสินะครับ! ข้าจะอยู่ห่าง ๆ ครับ! ข้าเข้าใจครับ, สหายที่เคร่งขรึมอย่างท่านคงไม่ชอบความใกล้ชิด!” เขาถอยห่างออกไปห้าก้าวอย่างเชื่อฟัง และยังคงเดินนำหน้าต่อไปโดยไม่รู้เลยว่าการกระทำที่บริสุทธิ์ของเขานั้นได้ก่อความวุ่นวายครั้งใหญ่ในจิตใจของนางแล้ว เมื่อจวินเสวียนเดินนำหน้าไปอย่างห่าง ๆ, นางจึงสามารถสงบสติอารมณ์ลงได้เล็กน้อย นางเฝ้ามองแผ่นหลังที่ผอมบางแต่ดูมั่นคงของจวินเสวียน เขาเป็นชายหนุ่มที่อ่อนแอที่สุดในโลก, เป็นผู้บุกรุกจากมิติอื่น, และเป็นผู้ต้มสุราวิเศษ... แต่สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกพิเศษกว่าสิ่งอื่นใดคือ ความซื่อสัตย์ที่ไร้เดียงสาของเขา จวินเสวียนไม่เคยพยายามหลอกลวงหรือใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งของนาง เขาเชื่อว่านางเป็น 'สหายชาย' ผู้เคร่งขรึม และปฏิบัติกับนางด้วยความเคารพและความเชื่อใจอย่างแท้จริง ขณะที่พวกเขากำลังเดิน, จวินเสวียนพลันหยุดเดินและหันมา “สหายใบ้! ข้าว่าเราควรพักกินข้าวนะครับ! ข้าไม่รู้ทำไม... ข้าคิดถึงท่านอาจารย์จังเลย... ท่านอาจารย์ชอบกินปลาเผา... ถ้าท่านอยู่ตรงนี้ ท่านคงดีใจที่เรามีกันและกันนะครับ” จวินเสวียนนั่งลงข้างโขดหิน, ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยอย่างแท้จริง และเริ่มทำอาหารอย่างเงียบ ๆ นางมองใบหน้าของเขาที่แสดงออกถึงความเศร้าโศกอย่างเปิดเผย นางไม่เคยเห็นความรู้สึกที่อ่อนแอและบริสุทธิ์ขนาดนี้มาก่อน นางเคยแต่เห็นศัตรูแสดงความกลัวและความโลภเท่านั้น “ความอ่อนแอ... ไม่ได้แปลว่าไม่มีค่า... ความเศร้า... ทำให้เขาดูเป็นมนุษย์...” ความรู้สึกในใจนางค่อย ๆ แปรรูปจากความหงุดหงิดเป็นความเห็นใจอย่างแท้จริง นางเดินเข้าไปใกล้จวินเสวียนอย่างเงียบ ๆ, นั่งลงข้างเขาโดยไม่พูดอะไร แล้ว ยื่นแขนเสื้อของตัวเอง ไปให้เขา จวินเสวียนเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ “อะ... ท่านหมายความว่า... ท่านให้ข้าใช้แขนเสื้อท่านเช็ดน้ำตาเหรอครับ?” นางพยักหน้าเล็กน้อยด้วยสีหน้าเยือกเย็น จวินเสวียนยิ้มอย่างซาบซึ้งใจทันที “ขอบคุณมากนะครับสหายใบ้! ท่านช่างเป็นเพื่อนที่ดีจริง ๆ!” เขาไม่ได้ร้องไห้, แต่เขาใช้แขนเสื้อของนางปาดเหงื่อและเช็ดใบหน้าของเขาเล็กน้อย แล้วยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย วินาทีนั้น, ในสายตาของนาง, จวินเสวียนไม่ได้ดูอ่อนแออีกต่อไป แต่กลับดูเหมือน บุรุษ ที่พึ่งพาได้ และนั่นคือช่วงเวลาที่ความรู้สึกแบบ ชาย-หญิง ในจิตใจที่แปรเปลี่ยนของนางได้ก่อตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ “ข้าจะปกป้องเขา... ไม่ใช่เพื่อเหล้า... แต่เพราะเขาคือข้าคนใหม่... คือความรู้สึกที่ข้าไม่เคยมีมาก่อน...” ขณะที่พวกเขานั่งพักผ่อน, นางสังเกตเห็นสร้อยคอหินสีเขียวที่จวินเสวียนสวมใส่อยู่ มันเป็นหินธรรมดาที่ดูไม่มีราคา แต่เขากำมันไว้ในมือแน่น “ท่านอาจารย์ให้ข้าไว้ก่อนตายครับ” จวินเสวียนเห็นนางมองก็อธิบาย “ท่านบอกว่ามันจะช่วยให้ข้ารู้สึกว่าท่านยังอยู่ข้าง ๆ ...” จวินเสวียนถอดสร้อยคอออก, แล้วยื่นมันไปให้นางอย่างจริงใจ “ข้าเห็นท่านช่วยข้าไว้หลายครั้งแล้ว! ข้าไม่มีอะไรจะให้ท่านเลย... ท่านรับนี่ไปนะครับ! ท่านอาจารย์บอกว่ามันนำโชคดี!” การแลกเปลี่ยนของที่ระลึกนี้เป็นสัญลักษณ์ของการผูกมัดที่ลึกซึ้งในยุทธภพ นางจ้องมองสร้อยคอธรรมดา ๆ นั้น แล้วมองใบหน้าที่ซื่อสัตย์ของจวินเสวียน นางไม่ต้องการของวิเศษ, แต่นางต้องการ การผูกมัด นี้ นางรับสร้อยคอมาอย่างเงียบ ๆ, แล้วสวมมันไว้ใต้ชุดคลุมบุรุษของนาง จวินเสวียนยิ้มอย่างมีความสุขที่สุด “ฮ่าฮ่า! เยี่ยมเลย! ตอนนี้เราเป็น สหายร่วมสาบาน ที่แท้จริงแล้วนะครับ!” นางพยักหน้าเล็กน้อย—สหายร่วมสาบาน... คำคำนี้ทำให้หัวใจของนางอบอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD