อื้ออออ
ฉันครางในลำคอพลางบิดร่างกายไปมาอยู่บนที่นอน กะพริบตาถี่เพื่อปรับให้เข้ากับแสงแดดที่สาดส่องเข้ามา ยกมือขึ้นบีบขมับตัวเองเบาๆ เพื่อบรรเทาความปวด ทำไมปวดหัวขนาดนี้นะ...ฉันดื่มไปมากแค่ไหนกันเนี่ย แต่ฉันก็ตื่นขึ้นเต็มตาทันทีเมื่อภาพที่เห็นมันพร่ามัวไปหมด ดีดตัวลุกขึ้นนั่งขยี้ตาตัวเองด้วยความตกใจ ไม่ได้นะ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ
ฉันนั่งกะพริบตาอยู่บนที่นอนสักพักก่อนมันจะกลับมามองชัดเป็นปกติ ลมหายใจถูกพ่นออกมาอย่างโล่งอก วันนี้ฉันต้องไปโรงพยาบาลนิ สิบโมง!! ตายแล้ว...ฉันรีบดีดตัวขึ้นจากที่นอนวิ่งเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำอย่างไว ฉันมีนัดกับหมอตอนเก้าโมงครึ่งแต่นี้มันสิบโมงกว่าแล้ว โอ๊ย...ไม่น่าดื่มเยอะเลยฉัน ว่าแต่เมื่อคืนฉันกลับมายังไงนะ เพลินมาส่งแหละมั่ง ช่างมันเหอะ...
....
โอ๊ะ...หัวฉันไปกระแทกอะไรมาเนี่ย ซี๊ดดด...เจ็บชะมัด ฉันซู๊ดปากนิ่วหน้าทันทีเมื่อยกมือขึ้นแตะรอยแดงตรงหน้าผากที่เห็นเด่นชัดผ่านกระจกเงาบานใหญ่ เหมือนมันจะปูดออกมาหน่อยๆ ด้วย ช่างมันก่อน ตอนนี้ฉันต้องรีบแล้ว
ฉันคว้ากระเป๋าสะพายใบโปรด กุญแจรถและคีย์การ์ด...คีย์การ์ดอยู่ไหน ฉันเอาไว้ไหนเนี่ย โอ๊ย...อยากจะบ้าตาย ฉันวิ่งรื้อหาคีย์การ์ดรอบห้องด้วยความยากลำบากเพราะภาพการมองเห็นของฉันเดี๋ยวก็ชัดเดี๋ยวก็มัวอยู่แบบนั้น ผลมาจากการดื่มเมื่อคืนแน่ๆ เอาไงดี...เอาไงดี ไปก่อนก็ได้วะ เดี๋ยวค่อยมาทำใหม่
มือเล็กดึงประตูเปิดอย่างรีบร้อนแต่ก็ต้องชะงักเมื่อมีร่างสูงของผู้ชายยืนอยู่หน้าประตู ฉันกะพริบตาถี่พร้อมกับหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างพินิจแล้วก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจเหมือนคนตรงหน้าคือ
“ธะ...ธาม เอ๊ย! รุ่นพี่”
“ถ้ามันลำบาก ก็เรียกเหมือนเดิมเหอะ” เสียงทุ้มตอบกลับมาพร้อมกับยื่นบัตรอะไรสักอย่างมาให้ ฉันเงยหน้ามองคนตัวสูงแบบงงๆ ก่อนภาพตรงหน้าจะชัดขึ้นและเห็นว่าคิ้วหนาขมวดเป็นปมจ้องหน้าฉันอย่างสงสัย
“โรสรีบอะธาม เดี๋ยวกลับมาค่อยคุยกันนะ” ฉันรีบเอ่ยขึ้นแบบปัดๆ พร้อมกับดึงประตูปิดและเร่งฝีเท้าไปที่ลิฟต์แต่ก้าวออกมาได้แค่สองก้าวเท่านั้น ร่างฉันก็ถูกกระชากให้หันกลับไปหาเขาจนตัวปลิวเข้าชนกับแผงอกแกร่งอย่างจัง
“รีบไปไหน” ธามถามขึ้นเสียงเข้มด้วยสายตาที่คาดคั้นแบบสุดๆ แล้วเขาเป็นอะไรเนี่ย อยู่ๆ ก็มายุ่งกับฉันทั้งๆ ที่เมื่อคืนเขาปฏิเสธอย่างไม่ไยดี ผีเข้าเหรอ? แต่ตอนนี้ฉันต้องหยุดคิดเรื่องนั้นไว้ก่อน
“ธุระด่วน ไปก่อนนะ” ฉันตอบกลับไปแบบร้อนรนพลางพยายามแกะมือหนาให้หลุดออกจากแขนเล็ก แต่เขาไม่ยอมปล่อย แถมยังออกแรงลากฉันไปเข้าลิฟต์ที่ประตูเปิดออกเพราะมีคนขึ้นมาพอดี ฉันที่ยังงงๆ อยู่กับการกระทำของเขาที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน รู้ตัวอีกทีคือมาอยู่ในลิฟต์ที่ประตูกำลังจะปิดเรียบร้อยแล้ว
มือหนาคายออกแล้วเปลี่ยนมาจับมือฉันไว้แทน ทั้งๆ ที่ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาจากปากเขาสักคำแต่ทำไมใจฉันเต้นแรงแบบนี้ล่ะ หน้าเห่อร้อนขึ้นมาเสียดื้อๆ เขาเป็นอะไรไป ไม่สบาย ไข้ขึ้น หรือสมองกระทบกระเทือน เมนไม่มาหรือเปล่า เห่ย! เขาจะมีเมนได้ไง สติ...สติ รังศิตา!
“เป็นอะไร ทำไมเหงื่อออกเยอะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเรียกสติฉันกลับมาอยู่กับตัวก่อนจะรู้สึกถึงความเปียกชื้นในฝ่ามือที่ถูกเขากุมไว้ ฉันรีบดึงมือออกมาป้ายเช็ดกับมืออีกข้างและจับกันไว้แน่นทันที ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ลมหายใจติดขัดไปหมด ใจก็กระหน่ำเต้นโครมครามจนแทบจะหลุดออกมา
ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดฉันก็รีบสาวเท้าออกมาโดยไม่สนใจว่าคนข้างในตอนนี้จะทำหน้ายังไง ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรหรือเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ ฉันแค่งงและปรับตัวไม่ทัน ง่ายๆ ก็คือช็อกนั่นแหละ และตอนนี้ฉันมีอีกอย่างที่สำคัญกว่า
อ่ะ//
แขนฉันถูกกระชากอย่างแรงจนเสียงหลักเซกลับมาชนเข้ากับแผงอกแกร่งของผู้กระทำก่อนที่ขาจะก้าวพ้นประตูหน้าคอนโด และฉันรู้ได้ในทันทีว่าใครเป็นคนทำโดยไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมอง กว่าฉันจะตั้งสติได้ร่างฉันก็ลอยลิ่วขึ้นสู่อากาศพร้อมกับมือเล็กที่โอบรอบคอเขาอย่างถือวิสาสะเพื่อหาที่ยึดเหนี่ยวกันตัวเองจะล้วงสู่พื้น
“ธะ...ธาม จะทำอะไร ปล่อยโรสนะ” ฉันโวยวายพลางดิ้นคลุกอยู่ในอ้อมแขนแกร่งของธาม แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจสักนิดแถมยังเร่งฝีเท้าไปที่ลานจอดรถก่อนจะมาหยุดที่รถสปอร์ตคันหรูสีขาวสะอาดตา ค่อยๆ ว่างฉันลงยืนบนพื้นและใช้แขนข้างหนึ่งล็อกตัวฉันไว้ มืออีกข้างดึงประตูรถเปิดออกพร้อมกับดันร่างฉันเข้าไปนั่งบนเบาะ
“จะมาทำอะไรตามใจตัวเองแบบนี้ไม่ได้นะธาม เราไม่รู้จักกันไม่ใช่เหรอ” ฉันต่อว่าคนตรงหน้าปะปนไปด้วยความตัดพ้อน้อยใจหน่อยๆ เขาเพิ่งบอกเองว่าฉันตายจากเขาไปนานแล้วนิ และไอ้ที่ทำอยู่นี้มันคืออะไรล่ะ ฉันไม่ได้สนุกด้วยหรอกนะ อยากทำให้ฉันเจ็บจนตายเลยรึไงกัน
“จะไปโรงพยาบาลใช่ไหม เดี๋ยวไปส่ง” เขาเอ่ยขึ้นโทนเสียงอ่อนโยนกว่าปกติ แบบที่ฉันเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกตั้งแต่กลับมาเจอกัน เขาไม่โดนตัวไหนมา ไม่สบาย? หรือผีเข้า? แต่เดี๋ยวนะ...ทำไมเขารู้ว่าฉันจะไปโรงพยาบาล
“ระ...รู้ได้ไง” ซองเอกสารของโรงพยาบาลถูกชูขึ้นต่อหน้าฉัน ตาหวานเบิกกว้างขึ้นทันทีด้วยความตกใจรีบดึงซองเอกสารมาจากมือเขาแล้วยัดใส่กระเป๋าสะพายรูดซิปปิดอย่างดี โอ๊ย...ฉันทำหล่นตอนไหนเนี่ย เขายังไม่ได้เปิดอ่านมันใช่ไหม
“เป็นอะไร” ธามเลิกคิ้วถามพลางมุดช่วงบนเข้ามาในรถแล้วค่อยๆ โน้มตัวลงมาหาฉันที่ตอนนี้ดันหลังจนติดเบาะแน่นชิดสนิทแบบอากาศก็ผ่านไม่ได้ แบบนี้มันไม่ดีต่อใจฉันเลยนะ ถึงเราจะเคยเป็นแฟนกัน แต่มันก้นานมากแล้วที่เราไม่ได้ใกล้กันแบบนี้และตอนนั้นเขาก็ไม่ได้หล่อลากดินขนาดนี้รึเปล่า ใบหน้าคมได้รูป คิ้วหนาเข้มดกดำ จมูกที่เชิดขึ้นเป็นสัน ดวงตาคมที่กราดเกรี้ยวนั่นยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้เขาขึ้นไปเป็นเท่าทวีคูณ และใจฉันก็โคตรเต้นแรงจนจะช็อกตายอยู่แล้วเนี่ย
“แค่ไปเอายาเฉยๆ ยาแก้แพ้น่ะ” ฉันตอบกลับด้วยการคุมเสียงให้เป็นปกติมากที่สุดพลางยกมือเล็กสองข้างดันแผงอกแกร่งไว้ก่อนที่เขาจะเข้ามาใกล้กว่านี้แล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ฉันไม่ตัวเองเลยนี้มันอะไรกัน ตอนนั้นทำไมไม่เห็นเขิลแบบนี้
เสียงหัวเราะถูกเค้นออกมาจากลำคอก่อนเขาจะดึงสายเบลล์มาคาดให้ฉัน ดึงตัวเองออกจากรถและดันปิดประตูปิดทันที เดินอ้อมไปขึ้นฝั่งคนขับ สักพักรถก็เคลื่อนออกจากคอนโดไปตามเส้นทางที่ฉันก็ไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่