THE HEARTLESS : 11

1511 Words
Lungsita Talk ฉันยืนชะเง้อมองหาธามจนคอจะยาวเป็นกะเหรี่ยงแล้วเนี่ย เขาหายไปไหนนะ บอกให้รออยู่ข้างนอก ซนจริงๆ เลย น่าตีไหมเนี่ย ว่าแต่...สรุปแล้วเขาเป็นอะไรกันแน่ ทำไมอยู่ดีๆ ถึงมาคุย มาวุ่นวายกับฉัน ผู้ชายอะไรเดาใจยากเป็นบ้า “เป็นอะไร” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ฉันสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปหาต้นเสียง แต่ก็ต้องสตั้นไปเพราะไม่คิดว่าเขาจะมายืนใกล้ขนาดนี้ หน้าฉันกับแผงอกแกร่งนั้นห่างกันแค่ไม่ถึงสองคืบเท่านั้นจนน้ำหอมโปโลสปอร์ตที่เป็นกลิ่นโปรดของเขามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ปะทะเข้าจมูกฉันและเผลอสูดดมมันเข้าปอดอย่างเผลอไผล ก่อนจะดึงสติกลับมาได้เพราะเสียงประกาศของโรงพยาบาล ฉันเงยหน้ามองคนตัวสูงแล้วรีบถอยหลังออกก้าวหนึ่งเพื่อเว้นระยะห่าง ให้ดวงใจน้อยๆ ของฉันได้ทำงานช้าลงบ้าง เพราะวันนี้มันทำงานหนักมาหลายครั้งแล้ว เดี๋ยวมันจะหยุดเต้นไปซะก่อน “เล่นไรเนี่ย มาเงียบๆ ตกใจหมด” ฉันเอ่ยต่อว่าคนตรงหน้าออกไปเสียงเข้มเพื่อกลบเกลื่อนอาการประหม่าของตัวเอง ทำไมใจสั่นทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขานะ ทั้งๆ ที่คาดหวังมาตลอดสี่ปีอยากให้มีเขามาอยู่ใกล้ๆ แบบนี้ แต่กลับกลายเป็นประหม่าไปหมดซะทุกอย่าง ตั้งตัวไม่ติด สติก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่เป็นตัวเองเลยสักนิด “ถามว่าเป็นอะไร” เสียงเข้มเอ่ยย้ำคำถามเดิมในตอนแรกอีกครั้งพลางจ้องหน้าฉันอย่างคาดคั้น คำว่าเป็นอะไรของเขา...มันหมายถึงทำไมฉันต้องมาโรงพยาบาลงั้นเหรอ แต่ฉันก็บอกเลี่ยงไปตั้งแต่บนรถแล้วนิ หรือเขาไปรู้อะไรมา คงไม่หรอกมั้ง...คิดบวกไว้โรส “ก็บอกแล้วไงว่ามาเอายา” ฉันยังคงยืนยันคำตอบเดิมที่ไม่ค่อยหนักแน่นเท่าไหร่ และเหมือนมันจะไม่ใช่คำตอบที่เขาต้องการด้วยเพราะตอนนี้หน้าตาของเขาบ่งบอกได้ชัดมากว่าหงุดหงิดกับคำตอบฉันแค่ไหน ก่อนเขาจะเรียกชื่อฉันเสียงเย็นยะเยือกจนขนลุกไปทั้งตัว “โรส” ครืดดด~ ครืดดด~ สิ้นเสียงเขามือถือฉันก็มีสายเรียกเข้าพอดี ช่วยชีวิตฉันไว้แท้ๆ ขอบคุณสวรรค์ “แป๊บนะ” ฉันเลยเอ่ยบอกคนตรงหน้าพลางล้วงหยิบมือถือในกระเป๋าสะพายตัวเองออกมา ปรากฏชื่อผู้เป็นบิดาบนหน้าจอมือถือ นิ้วเรียวเล็กเลื่อนสไลด์รับสายทันที “คะ คุณพ่อ” ฉันเรียกสรรพนามปลายสายพลางมองหน้าธามไปด้วยเป็นเชิงบอกเขานัยๆ ว่า ใครเป็นคนโทรมาหาฉัน ‘หนูทำไรอยู่’ “เปล่าค่ะ คุณพ่อมีอะไรเหรอคะ” ‘พ่อมีธุระจะคุยด้วย มาหาที่บ้านหน่อยนะ ตอนนี้เลยนะลูก พ่อรออยู่’ “อ๋อ..ได้ค่ะ” ฉันตอบรับปลายสายก่อนจะกดวางแล้วเก็บมือถือเข้ากระเป๋าตามเดิม ก่อนจะหันมาบอกคนตรงหน้าที่ยืนมองฉันแบบนิ่งๆ ตามสไตล์ของเขา “คุณพ่อให้โรสไปหาท่านที่บ้าน ตอนนี้เลยอะ” “อืม” เสียงคำรามตอบรับในลำคอดังขึ้นพร้อมกับร่างหนาเดินนำไปที่รถทันที ฉันได้แต่คอตกเดินตามแผ่นหลังกว้างนั่นไปแบบหงอยๆ ทำไมต้องเวลานี้ด้วยนะ ฉันยังอยากคุยกับเขาอยู่เลย อยากหยุดเวลาไว้แบบนี้ด้วยซ้ำ เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เขาจะยังเป็นแบบนี้อยู่ไหม …. …. @บ้านตรีทรัพย์ ฉันหักพวงมาลัยรถเลี้ยวซ้ายเข้าประตูรั้วบ้านหลังใหญ่ในย่านชุมชน บ้านที่ฉันเคยอยู่ บ้านที่เคยอบอุ่น แต่หลังจากคุณพ่อกับแม่รันอย่าขาดจากกันฉันก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย รถเคลื่อนมาจอดหน้าบ้านก่อนจะปลดสายเบลล์ของตัวเองออกพร้อมกับมีชายชุดดำมาเปิดประตูรถให้ฉันแล้วโค้งตัวลงน้อยๆ ขาเล็กก้าวลงมายืนข้างรถพลางถอนหายใจออกพรืดใหญ่ “เชิญด้านนี้ค่ะคุณหนู” หญิงวัยกลางคนที่อยู่ในชุดขาวเดินเข้ามาพูดกับฉันอย่างนอบน้อมพลางผายมือออกไปทางด้านในของบ้าน คนเก่าๆ ที่เคยอยู่คงไม่เหลืออยู่เลยสักคนเพราะเป็นทำเนียบของบ้านที่พอเปลี่ยนคุณนายท่านทูตคนใหม่ก็ต้องเปลี่ยนคนงานไปด้วย ฉันเดินตามผู้หญิงคนนั้นเข้าไปในบ้านตรงไปตามทางแล้วมาหยุดกลางห้องโถง ที่ถูกตกแต่งด้วยชุดโซฟาสีเหลืองทองสุดหรูที่มีคุณพ่อและคุณนายท่านทูตนั่งอยู่ ส่วนโซฟาอีกตัวด้านข้างคุณพ่อก็มีผู้ชายน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับฉันที่ไม่รู้จักนั่งอยู่ “สวัสดีค่ะ” ฉันยกมือไหว้ท่านทั้งสองอย่างนอบน้อม “นั่งก่อนซิหนูโรส” คุณนายท่านทูตวัยประมาณสี่สิบกว่าแต่ยังคงความสวยสดงดงามไว้ยังกับสาววัยสามสิบเท่านั้นพูดบอกฉันด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนพลางขยับออกห่างจากคุณพ่อตบมือเบาๆ ลงบนโซฟาข้างๆ ท่านเป็นเชิงให้ฉันไปนั่งตรงกลางระหว่างท่านกับคุณพ่อ ฉันก็เดินโค้งผ่านท่านไปนั่งลงบนโซฟาอย่างว่าง่ายตามคำสั่ง “คุณพ่อมีธุระอะไรกับโรสเหรอคะ” ฉันหันถามคุณพ่อทันทีที่นั่งลงบนโซฟาเรียบร้อยแล้ว ฉันไม่ค่อยอยากอยู่ที่นี้นาน มันอึดอัดยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูกแค่การใช้ชีวิตเขาก็ต่างกับฉันอย่างสิ้นเชิงแล้ว ฉันชินกับการใช้ชีวิตแบบคนกลางๆ ไปแล้ว นกน้อยในกรงทองเหรอ ฝันไปเหอะ ฉันไม่อยากกลับไปเป็นแบบนั้นอีกแล้ว “ก็ไม่ใช่ธุระอะไรสำคัญอะไรหรอก ตั้งแต่กลับมาพ่อยังไม่ได้เห็นหน้าหนูเลย แค่คิดถึงลูกสาว” คุณพ่อพูดขึ้นพลางยกมือลูบหัวเล็กทุยอย่างเอ็นดู มองฉันด้วยแววตาปลื้มปริ่มปีติยินดี ฉันเองก็คิดถึงท่านมากเหมือนกัน อยากกอดใจจะขาดแต่มันติดตรงแบบว่าเราสองคนพ่อลูกห่างกันมานาน ก็เลยรู้สึกเขิลๆ อายๆ ยังไงก็ไม่รู้ “เออ ลูกพี่ซันจำได้ไหม ลูกชายคุณน้ากรไง” คุณพ่อพูดแนะนำผู้ชายที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวข้างๆ ท่าน ฉันเลยยกมือไหว้พี่ซันคนนั้นก่อนจะส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้พลางนึกย้อนไปตอนที่ฉันยังอยู่ที่นี่ พี่ซันงั้นเหรอ ฉันก็จำได้นะ แต่ถ้าเจอข้างนอกคงจำไม่ได้ เพราะเขาเปลี่ยนไปมาก ตอนเด็กๆ ฉันกับพี่ซันสนิทกันมากกกก เล่นด้วยกันทุกวัน แต่ก็นะเราห่างกันมาตั้งหลายปี จะมาสนิทเหมือนเดิมก็คงไม่ได้แล้วอะ พี่ซันรับไหว้ฉันแบบยิ้มๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงตื่นเต้นแบบสุดๆ “ดีใจจัง พี่นึกว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกซะแล้ว มีอะไรก็ให้ช่วยก็บอกพี่ได้เลยนะ” “อ๋อค่ะ” ฉันตอบกลับไปแบบยิ้มๆ ตามมารยาท “พ่อเห็นหนูไม่มีเพื่อนที่นี่เลย กลัวหนูจะเหงา เผื่ออยากไปไหนก็จะได้มีเพื่อนไป” เสียงทุ้มแหบของคุณพ่อดังขึ้นแสดงเจตนารมณ์ของตัวเองเด่นชัด ท่านอยากให้พี่ซันมาคอยดูแลฉันเหมือนตอนเด็กๆ แทนพวกชายชุดดำพวกนั้น แต่ฉันไม่ได้อยากให้ใครมายุ่งวุ่นวายด้วยนี่หนา เมื่อก่อนสนิท แต่มันก็เป็นสิบกว่าปีมาแล้วนะ แล้วอีกอย่างฉันโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ โรสเกรงใจ” ฉันเลือกที่จะปฏิเสธแบบมีมารยาทและคนฟังก็จะไม่เสียความรู้สึกมากนัก “เกรงจงเกรงใจอะไรกัน พี่ยินดีมากๆ” เสียงร่าเริงดังออกมาจากปากคนที่ถูกปฏิเสธอ้อมๆ เมื่อกี้แบบไม่รู้สึกรู้สาอะไร ฉันพูดอ้อมไปรึเปล่านะ...ฉันเลยทำได้แค่ส่งยิ้มแหยๆ ให้พี่ซันเหมือนเดิม “อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนนะจ๊ะ หนูโรส” คุณนายท่านทูตที่นั่งประกบอีกข้างเอ่ยบอกฉันอย่างใจดี ท่านไม่เหมือนที่ฉันคิดไว้เลย แม่เลี้ยงใจร้ายมีแค่ในละครเท่านั้นแหละมั้ง แววตาที่มองฉันอย่างอ่อนโยนทำให้ฉันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นเหมือนเป็นครอบครัวจริงๆ เลย ฉันพยักหน้าตอบรับแบบไม่ลังเลเลยสักนิด ตอนแรกที่ฉันไม่อยากมาที่นี่ก็เพราะกลัวคุณนายท่านทูตจะรังเกียจ จะต่อว่า แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิดเลยสักอย่าง ท่านทำเหมือนฉันเป็นหนึ่งในครอบครัว หรือเป็นเพราะท่านไม่มีลูก ฉันก็เลยกลายเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้านไปโดยปริยาย....
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD