วันต่อมา….
“ฮะๆๆๆ” ฉันสะดุ้งสุดตัวรีบตอบรับเป็นพัลวันกับเสียงตะโกนเรียกข้างหูของเพื่อนใหม่ที่เริ่มจะสนิทของฉัน ก่อนที่นนท์จะเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย
“เป็นไรเนี่ย เราเรียกตั้งหลายครั้งแล้ว”
“ปะ...เปล่าๆ คิดไรไปเรื่อยน่ะ” ฉันตอบกลับไปแบบปัดๆ แล้วนนท์ก็หันกลับไปทางน้องอีกคนของชมรมที่กำลังพูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับโรงเรียนบนดอย ฉันก็ไม่ค่อยได้ตั้งใจฟังเท่าไหร่ เพราะมัวแต่คิดเรื่องเมื่อคืนก่อนและตอนนี้ก็ปวดหัวหนักมาก คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก อยู่ดีๆ คีย์การ์ดคอนโดที่หาไม่เจอก็มีคนเอาไปฝากไว้กับพี่รปภ. แต่ถ้าฉันทำหล่น ทำไมถึงเข้าห้องได้ล่ะ ความจริงมันก็ควรอยู่ในห้องไม่ใช่เหรอ หรือฉันไม่ได้ล็อกห้องตั้งแต่ก่อนออกไป พอกลับเข้ามาก็เลยเปิดได้โดยไม่ใช้คีย์การ์ดงั้นเหรอ แต่มันไม่น่าเป็นไปได้นะ ฉันเนี่ยนะลืมล็อกห้อง โอ๊ย...หัวจะระเบิด
“โอเค งั้นเอาตามนี้แหละกัน มีใครจะเสริมอะไรอีกไหม” นนท์สรุปจบก่อนถามความคิดเห็นเพิ่มเติมจากคนในชมรม แต่ก็ไม่มีใครเสนออะไร ฉันจับใจความได้คร่าวๆ ว่าอาทิตย์หน้าชมรมพวกเราจะไปช่วยซ่อมแซมโรงเรียนให้น้องๆ บนดอยที่โดนพายุฝนถล่มอะไรเนี่ยแหละ แต่ฉันก็ไม่ได้ติดขัดอะไร ยังไงก็ได้
พอสรุปประชุมเรียบร้อยทุกคนก็พากันเก็บของเตรียมแยกย้ายกลับบ้าน เหลือแค่ฉัน นนท์ เพลิน และก็มิณที่ยังอยู่ในห้องชมรม เพื่อตรวจดูความเรียบร้อย
“เออ! คืนวันนั้นเราเมามากเลยใช่ปะ” ฉันตัดสินใจถามออกไปหลังจากที่ลังเลอยู่นานว่าจะถามดีไหม แต่มันค้างคาใจ เอาให้จบๆ ไปซะดีกว่า เพลินตาที่กำลังก้มลงใต้โต๊ะเพื่อถอดปลั๊กไฟหยุดการกระทำตรงหน้าและเงยขึ้นมาทำตาโตใส่ฉันทันที
“โห่...อย่าให้พูด เพลินนึกว่าพี่ไปโดนใครหักอกมา” น้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจังของเพลินตาทำให้ฉันเชื่อสนิทใจว่าพวกเขาไม่ได้อำฉันแน่ น่าจะเมาเหมือนหมาเลยแหละ นึกแล้วก็อายสภาพตัวเองชะมัด ก็วันนั้นฉันโดนปฏิเสธมาจริงๆ อย่างที่เพลินเดานั่นแหละ
“นั้นดิ ปกติเมาแบบนี้ทุกครั้งเลยปะ” นนท์ทิ้งทุกอย่างตรงหน้ารีบหันกลับมาเสริมขึ้นทันทีพวกเขาต้องหาว่าฉันเป็นลำยองแน่ๆ เลยใช่มะ เพราะตอนนี้ทุกคนก็ไม่ทำอะไรกันต่อแล้ว พากันมานั่งจ้องหน้าฉันอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ไม่ๆ ปกติเราไม่ค่อยได้ดื่ม” ฉันรีบปฏิเสธทันควัน ไม่รู้เขาจะเชื่อเปล่า แต่ปกติไม่เคยเป็นอย่างงี้จริงๆ วางตัวไม่ถูกแล้วตอนเนี่ย อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน ถึงจะจำไม่ได้แต่ก็พอจะเดาออกว่าเละแน่ๆ รู้จักกันไม่เท่าไหร่ฉันก็ปล่อยของซะแล้ว
“นั้นง่ะ เพลินว่าแล้ว พี่อกหักช้ะ?”
ผลัวะ//
“ไม่เสือก...ไม่เสือก”
สิ้นเสียงหัวเล็กของเพลินก็ทิ่มลงเกือบถึงโต๊ะเพราะแรงฟาดจากฝ่ามือเล็กของมิณพร้อมกับด่าเพื่อนตัวเองเสียงแข็ง พวกนี้เล่นกันโหดจัง ส่วนเพลิงก็เอามือลูบหัวตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นไปด่าคนตบแบบตาขวางทันที
“ห่าเอ๊ย! มือหรือตีนวะ แม่งโคตรเจ็บเลย”
“แล้วเรากลับคอนโดยังไงเหรอ” ฉันเลยสงบศึกสงครามที่ดูเหมือนกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าระหว่างสองเพื่อนรักนั่นด้วยคำถามที่ฉันโคตรจะค้างคาและมันได้ผลสองสาวนั่นไม่ตีกันและหันมาสนใจฉันแทน
“พี่จำไม่ได้เลยเหรอ” เพลินถามขึ้นหน้าตาตื่นด้วยความตกใจพลางหันไปมองหน้ากันกับนนท์ก่อนจะทำท่ากลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
“แต่โรสโอเคดีใช่ปะ”
“โอเค เราไม่ได้เป็นไร แค่ถามเฉยๆ” สิ้นเสียงฉันนนท์ก็ถอนให้ใจออกมาอย่างโล่งอก คล้ายกับกังวลว่าฉันจะเป็นอะไร
“เพลินส่งพี่ที่หน้าลิฟต์ ตอนแรงจะไปส่งบนคอนโด แต่พี่ไม่ยอมบอกว่าขึ้นไปเองได้ โวยวายใหญ่เลย เพลินก็เลยต้องยอมให้พี่ขึ้นไปเอง” เพลินรีบอธิบายให้ฉันฟังทันทีและมันยิ่งทำให้ฉันงงเข้าไปใหญ่ เข้าห้องด้วยตัวเอง แล้วคีย์การ์ดล่วงตอนไหน ทำไมเข้าห้องได้
“แต่พอมิณขึ้นไปบอกเฮียยู เฮียดินก็รีบตามไปดูพี่เลยนะ ไม่เจอกันเหรอ” มิณพูดเสริมขึ้น
“ดินหรอ” ฉันพึมพำกับตัวเองและพยายามนึกว่าได้เจอดินรึเปล่า แต่ก็มีภาพรางๆ ว่าเห็นผู้ชายมาช่วยพยุงฉัน แต่ใช่ดินไหมล่ะ ฉันเหลือบตาไปเห็นสีหน้าทุกคนเริ่มเครียดกันแล้วเลยรีบตัดบทชวนกลับบ้านดีกว่า
“ช่างเหอะ กลับกันดีกว่า ปะๆ”
พูดจบฉันก็ฉีกยิ้มให้พวกเขาเพื่อคลายกังวลก่อนจะก้มลงเก็บของ ความจริงฉันก็ไม่ได้อะไร แค่งงเฉยๆ ใครกันเป็นคนพาฉันเข้าห้อง คงจะเป็นดินนั่นแหละ เพราะตื่นมาฉันยังอยู่ดีในสภาพเดิมทุกอย่าง แต่ทำไม่ดินต้องเอาคีย์การ์ดไปฝากไว้กับพี่แต่นั่น.ล่ะ เอามาให้ฉันเองก็ได้นะ งง?