“เดินทางมาถึงรอบ Seni final กันแล้วนะครับสำหรับเวทีของผู้มีฝัน จากผู้เข้าสมัครกว่าพันคนคัดเหลือเพียงหนึ่งร้อยคนในรอบแรกของการแข่งขัน ผู้เข้าประกวดแต่ละท่านต้องแสดงศักยภาพและความสามารถของตัวเองออกมาให้มากที่สุดเพื่อผ่านเข้ารอบต่อไปและตอนนี้ก็มาถึงท็อปเท็นสิบคนสุดท้ายกันแล้วนะครับ
แต่! อย่างที่เคยกล่าวไว้ว่าเวทีของเราต้องการเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น รอบต่อไปนี้จะคัดให้เหลือเพียงท็อปไฟท์เท่านั้น และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือผู้มีความสามารถสูงสุดที่จะได้ครอบครองเงินรางวัลหนึ่งล้านบาทและโอกาสได้เดบิวต์เป็นศิลปินคนต่อไป และ! สำหรับใครที่ตามเชียร์ผู้เข้าประกวดท่านใดอยู่อย่าลืมคอยให้กำลังใจพวกเขาเหล่านั้นด้วยนะครับ”
พิธีกรหน้าหล่อออกไปทางฝรั่งแต่พูดไทยชัดถ้อยชัดคำ เบื้องหลังคือเด็กหนุ่มสาวอีกสิบชีวิตยืนเรียงรายจับมือจับไม้ลุ้นรายชื่อตัวเองเพื่อเข้ารอบต่อไป แต่จะมีอยู่หนึ่งคนที่ยืนแยกโดดเดี่ยวไม่จับมือใครและออกห่างจากแถวชัดเจน
“ดูอะไรอยู่คะคุณมานพ ดึกแล้วนะคะ”
“รายการนี้ไง เธอไม่เคยดูรึ”
“ไม่เคยค่ะ”
พยาบาลพิเศษผู้มีทักษะการทำกายภาพบำบัดตอบรับสั้นๆ เธอไม่ได้สนใจสิ่งที่หน้าจอใหญ่ๆ นั่นฉายเลยด้วยซ้ำ มือหนาและสากจากการทำงานหนักยกเท้าชายแก่ขึ้นมาบนตักของเธอแล้วทำการนวดไล่เส้น
“ทำไมทีมงานมันไม่รู้จักดูความเรียบร้อยวะ นี้รายการสดแท้ๆ” ชายแก่สบถหัวเสียก่อนจะยกสายหาใครสักคน บ่นพืดใหญ่แล้วก็วางสาย
“ไม่เอาสิค่ะคุณมานพ ใจเย็นๆ ค่ะ”
“พอฉันวางมือพวกมันก็เละเทะ”
“วางมือก็คือวางมือนะคะ คุณต้องห่วงสุขภาพของตัวเองก่อน เรื่องงานปล่อยให้ลูกหลานทำไปเถอะนะคะ”
“เธอก็มีลูกสาวไม่ใช่หรือมาริน เป็นเธอ! เธอจะปล่อยได้มั้ย” ชายแก่ย้อน คนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่เคยมองว่าลูกโตหรอก ยังไงก็เด็กวันยังค่ำ
“ลูกสาวดิฉันแกเป็นเด็กดี ว่าง่ายค่ะ” มารินอยากจะอวดให้คนแก่รวยล้นฟ้าคนนี้อิจฉาเธอบ้างแต่ดูสิ อดีตซีอีโอท็อปวันเรคคอร์ดแอนด์เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ไม่สนใจฟังมารินเลยสักนิดเดียว
“ดูมัน! ขนาดโทรไปด่าแล้วพวกมันก็ยังไม่รีบแก้ไขอีก” โรคเพอร์เฟคชั่นนิสต์(Perfectionist)[1] มันติดเป็นสันดานจนแก้ไม่ได้ เห็นอะไรเละเทะขวางหูขวางตาก็ต้องเข้าไปจัดการให้เรียบร้อย
“คุณมานพ...นั่นมัน!” มารินเหลือบตาเห็นเด็กสาวคนนั้นในหน้าจอทีวี เธอถูกทีมงานดันเข้าไปยืนรวมกลุ่มกับผู้สมัครคนอื่นๆ แต่ก็เหมือนเดิม
ไม่มีผู้เข้าประกวดคนไหนเหลียวแลเธอเลย
“เฮอะ! แทนที่จะจัดการดูแลให้มันเรียบร้อย”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“เห็นยัยเด็กคนนั้นมั้ย”
“เห็นค่ะ” มารินเห็นเด็กคนนั้นชัด
เธอคือพลอยชมพูลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนที่แสนรักแสนหวง
“เด็กคนนี้เก่งนะ เสียงดี เต้นได้ แต่ดูสิ! ไม่ขึ้นกล้องเอาซะเลย ชอบทำตัวประหลาดแถมเข้ากับคนอื่นไม่ได้”
“เหรอคะ”
“ถึงจะชนะก็เสียเปล่าเอาไปใช้งานไม่ได้” คนแก่ผู้ผ่านประสบการณ์มากมายสายตาเฉียบคม การจะลงมือปั้นศิลปินสักคนหนึ่งมันคือการลงทุนมหาศาล และการลงทุนคือความเสี่ยง ฉะนั้นจะลงทุนกับใครก็ต้องคัดสรรมาอย่างดีว่าสามารถต่อยอดไปให้ไกลที่สุด
ไอ้พวกหล่อแบบเทพบุตร สวยราวกับนางฟ้าหรือเสียงไพเราะสะกดคนฟังจนหลับแต่ถ้าไม่มีเสน่ห์หรือคาแรคเตอร์ที่โดดเด่นน่าจดจำยังไงก็ไปไม่รอด
อาชีพนักร้อง นักแสดงคือศิลปะรูปแบบหนึ่งที่จำเป็นต้องใช้กระแสความนิยมเป็นลมใต้ปีก ส่วนพวกที่มีแต่ความสามารถล้วนๆ เหมาะกับงานปิดทองหลังพระเท่านั้น มันช่วยให้งานออกมาสมบูรณ์แบบแต่ไม่ใช่จุดขาย
“ฝึกฝนพัฒนาอีกหน่อยก็ได้นี้ค่ะคุณมานพ”
“เสียเวลา! หน้าตาซื่อๆ บื้อๆ แบบนี้ต้องพัฒนาอีกมาก เอาเวลาไปพัฒนาคนที่มีแววและอายุน้อยกว่านี้ไม่ดีกว่ารึ”
“งั้นเลยหรือคะ” มารินมองลูกสาวของเธอชัดกว่าทุกครั้งที่เคยมอง แน่นอนว่าตนเห็นด้วยตามที่คุณมานพว่า เด็กสาวบ้านๆ แต่งตัวธรรมดา ไร้เสน่ห์น่าติดตาม ไร้สง่าราศี ดูซื่อบื้อหัวช้าและไม่เข้าพวกกับใคร
พลอยชมพูยืนอยู่โดดเดี่ยวไร้เพื่อนผู้ประกวดคนอื่นๆ กอดคอหรือจับมือ สายตาเต็มไปด้วยความประหม่าระคนตื่นเต้น เด็กสาวอายุสิบแปดปียืนท้ายแถวแทบตกขอบเวทีอย่างน่าสงสาร
มารินไม่รู้จะภาวนาให้ลูกสาวของเธอได้ไปต่อหรือควรดึงเธอกลับมาจุดเดิมที่เหมาะสม แต่สำหรับแม่ย่อมไม่มีวันอยากเห็นลูกผิดหวัง
“แล้วถ้าเกิดเด็กคนนี้ชนะล่ะคะ”
“ไม่มีทาง มาถึงรอบนี้ได้ก็เกินคาดแล้ว”
“แต่การที่เด็กคนนี้เข้ามาถึงรอบสิบคนสุดท้ายได้ก็แปลว่าแกต้องเก่งพอดูไม่ใช่เหรอคะ แล้วทำไมแกถึงจะไม่มีทางชนะการประกวดครั้งนี้”
“อีกายังไงมันก็คืออีกา ไม่ว่าจะเสียเงินเสียเวลาย้อมสียังไงอีกาก็ไม่มีทางสง่างามเหมือนหงษ์” ประสบการณ์อันยาวนานของอดีตผู้บริหารค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ในประเทศไม่เห็นว่าควรเสียสิ่งมีค่าให้กับสิ่งที่ไม่น่าพัฒนาต่อยอดได้
บริษัทลงทุนจัดการประกวดก็เพื่อสร้างกระแสความนิยมในรูปแบบเรียลลิตี้ ให้คนทางบ้านได้รู้จักผู้เข้าประกวดตั้งแต่วันแรกและติดตามกันมาเรื่อยๆ ส่งแรงใจส่งแรงเชียร์ในรูปแบบคะแนนโหวตแบบ SMS เป็นคลื่นใต้น้ำคอยปั่นกระแส ช่วยโปรโมตโดยไม่เสียเงินจ้าง และคนเหล่านี้ก็จะกลายเป็นฐานแฟนคลับที่แน่นหนาไปจนถึงวันที่ผู้ประกวดมีผลงานออกมาสักชิ้น
ทุกอย่างมันคือผลประโยชน์ไม่ใช่การกุศล
“แต่แกมีความสามารถนะคะ ทำไมไม่วัดกันที่จุดนี้”
“ใช่! ข้อนั้นฉันไม่เถียง ต้องยกความดีให้เด็กคนนี้ที่ทำให้รายการประกวดมันสมบูรณ์แบบตามแบบที่รายการดีๆ ควรมี”
“ยังไงคะ”
“ถ้าผู้เข้าประกวดมีแต่ลูกคนรวยที่ร้องเต้นเล่นดนตรีรายการนี้มันจะน่าสนใจน่าจดจำหรือน่าตื่นเต้นตรงไหน คนไทยเป็นประเภทใจอ่อนขี้สงสาร ถ้าในรายการมีเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่มีความสามารถปะปนมาด้วยคนก็จะพูดถึงและคอยติดตามว่าจะผ่านรอบต่อไปได้มั้ยโดยที่รายการไม่ต้องเสียเงินโฆษณาสักนิด เป็นการตลาดที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย แค่ฉันสละที่ว่างสักที่ให้เด็กคนหนึ่งยืนมันคุ้มจะตายไป ใช่มั้ย!?”
“แต่ยังไงซะการประกวดก็วัดกันที่ความสามารถไม่ใช่หรือคะคุณมานพ”
“เธอคิดว่าเด็กคนนั้นพิเศษกว่าคนอื่นยังไงฮะ เก่งกว่าเหรอ เสียงดีกว่าหรือเปล่า หรือหน้าตาสวยเสียจนไม่มีที่ติ ฮึ...ไม่มีใช่มั้ย นั่นแหละ! เหตุผลที่ทำไมเด็กคนนี้ถึงไม่มีทางชนะ”
มารินมองพิธีกรหนุ่มกล่าวขอบคุณสปอนเซอร์ทั้งหลายจบแล้วรายการก็ตัดเข้าโฆษณา เธอพอเดาออกแล้วว่าความฝันของพลอยชมพูครั้งนี้ไม่มีทางเป็นไปได้จริง
... .. ...
เชิงอรรถ
^ Perfection ที่แปลว่า ความสมบูรณ์แบบ ดังนั้นแล้วผู้ที่มีความเป็น Perfectionist ก็หมายถึง คนที่หลงรักในความสมบูรณ์แบบ ซึ่งแน่นอนว่าความผิดพลาด ความล้มเหลว หรือได้รับคำตำหนิ คือสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการเผชิญเลย ทำให้นิสัยอย่างหนึ่งที่โดดเด่นของคนกลุ่มนี้ก็คือ เขามักจะดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวังเสมอในทุกเรื่องรอบตัว