เช้าวันต่อมา
“แม่! แม่จะทำอะไร”
“ไหน! ที่แกบอกแม่ว่าไปสมัครเรียนมา อยู่ไหน”
“อะไรอยู่ไหนแม่” แม่ของพลอยชมพูกลับจากงานพิเศษในตอนเช้าตรู่เช่นเคย แต่วันนี้มารดาเธอเข้ามาในห้องนอนลูกสาวรื้อค้นชั้นหนังสือและกระเป๋าเป้
“หลักฐาน เอกสาร หนังสือเรียน ไหน! อยู่ไหน”
“พลอย...”
“โกหกงั้นเหรอ! ฉันไม่เคยสั่งเคยสอนให้แกเป็นเด็กขี้โกหกนะ”
เพียะ!!!
ความโมโหโทโสพาลให้ตีพลอยชมพูไปหลายทีและความบังเอิญก็เจอสมุดเล่นหนึ่งที่ลูกใช้ซ้อมมือปลอมลายเซ็นมารดา
“นี้มันอะไรกัน!”
“แม่! พลอยขอโทษ”
“ทำไมถึงทำตัวแบบนี้ฮะ! ฉันเหนื่อยทำงานหนักหาเงินส่งแกเรียนดีๆ อยากให้แกมีอนาคตที่ดีจะได้สุขสบายไม่ต้องลำบากแบบฉัน แต่แกมาทำกับฉันแบบนี้เหรอ”
โกหกว่าอยากเรียนครูอยู่กับเด็กๆ แล้วสบายใจแต่ที่ไหนได้ พลอยชมพูไม่ได้ไปมอบตัวตามวันด้วยซ้ำ บอกแม่ว่าไปซัมเมอร์ทำกิจกรรมที่คณะทุกวันแล้วเหตุใดเธอจึงไปโผล่บนเวทีประกวดร้องเพลง ทั้งๆ ที่คุยกันแล้วว่าไม่ให้ลงประกวด
“นางลูกไม่รักดี”
“แม่! พลอยขอโทษ”
“แหกตาตื่นจากความฝันและหัดมองดูความเป็นจริงสักที คนอย่างแกไม่มีทางชนะหรอกนางโง่”
“ทำไมแม่พูดกับพลอยแบบนี้...” หญิงสาวไม่เคยเจออารมณ์รุนแรงและวาจาร้ายกาจของมารดาตัวเองมาก่อน อาจเพราะในชีวิตนี้พลอยชมพูเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายพูดอะไรก็ทำตาม ไม่ดื้อหรือเถียงสักครั้ง เป็นลูกที่อยู่ในโอวาทมาตลอดจนเหมือนหุ่นเชิด
ไม่ว่าคนเป็นแม่จะจัดหาทางอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น
“ชีวิตมันก็แบบนี้แหละ แกคิดว่าโลกแห่งความจริงมันง่ายนักเหรอฮะ หัวช้าเรียนก็ไม่เอาไหนยังจะกล้าไปลงประกวดร้องเพลงแข่งกับคนอื่นแบบนั้น แกคิดว่าตัวเองวิเศษวิโสนักเหรอถึงจะชนะใครเขาได้” คนไข้วีไอพีทำให้มารินตระหนักถึงผลประโยชน์ในรูปแบบของรายการโชว์ กลโกงและวิธีการที่ทำให้ดูโปร่งใสแต่ทั้งหมดนั้นมันคือการแสดงที่แนบเนียนที่สุด นำแสดงโดยเบี้ยหนึ่งตัวในนั้นที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังเดินตามแผนของผู้คุมเกม ความใสซื่อของเบี้ยหน้าโง่ตัวหนึ่งหลอกล่อให้ผู้ชมคิดว่ามันสามารถล้มคิงได้
แต่สุดท้ายมันก็จะตายไปเงียบๆ อย่างไร้ความหมายและไม่ใช่ที่จดจำ
“ทำไมแม่ถึงพูดกับพลอยแบบนี้ล่ะคะ”
“แกจะได้ตาสว่างสักทีไง เลิกเพ้อเลิกฝันกับอะไรที่เป็นไปไม่ได้ อย่างแกเหรอจะชนะประกวดได้ อย่างแกเหรอจะเป็นศิลปิน”
ฮือ....
พลอยชมพูทิ้งตัวลงนั่งก้มหน้าร้องไห้ การถูกคนที่รักมากที่สุดดูถูกพูดจาทำร้ายจิตใจกันมันเจ็บแสบจนแทบไม่เหลือกำลังใจต่อให้สู้
เธอรู้ดีว่ามันยากแต่ก็ยังหวังว่าจะสำเร็จสักวัน เธอรู้ว่าไม่ได้วิเศษวิโสกว่าคนอื่นนัก แต่สิ่งนี้คือสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในชีวิตของพลอย
ฮื้ออ...!!
“หยุด! แกเลิกทำตัวไร้สาระสักที”
ฮื้อออ!!!
มารินลงมือฟาดลูกสาวไปหลายทีโดยความโกรธเพราะไว้เนื้อเชื่อใจ ส่วนพลอยชมพูก็นั่งร้องไห้เป็นเผาเต่า ตั้งแต่จำความได้เธอไม่เคยโดยแม่ดุด่าหรือลงไม้ลงมือเช่นกัน
จนกระทั่งผ่านไปหลายชั่วโมง โดยปกติมารินจะกลับมานอนพักสักสองสามชั่วโมงแล้วไปทำงานประจำที่โรงพยาบาลต่อแต่วันนี้กลับหมดแรงสู้ทั้งใจและกาย
คนเป็นแม่นั่งมองลูกสาวกอดเข่าร้องไห้ในห้องนอนที่เละเทะด้วยมือของเธอ
สุดท้ายแล้วคนเป็นแม่ก็หยิบกระปุกสีผึ้งขึ้นมาทารอยแดงที่ตนฟาดลูกสาวไปหลายที รอยพวกนี้หาได้เกิดจากความเกลียดชังแต่มันคือความรักและความผิดหวังอย่างรุนแรงเกินบรรยาย
“ทำไมพลอยถึงได้ดื้อกับแม่แบบนี้ฮะ” คนเป็นแม่ก็เจ็บช้ำไม่น้อย
มารินเลี้ยงดูพลอยชมพูมาอย่างดีที่สุดเท่าที่แม่คนหนึ่งจะทำให้ลูกสาวได้
“แม่จ๋า..! พลอยไม่ได้ตั้งใจทำแบบนี้”
“เห็นมั้ยว่าผลจากการที่พลอยไม่เชื่อฟังแม่มันเป็นยังไง”
“แม่! พลอยขออีกแค่ครั้งเดียวได้มั้ย”
“พลอย! ฟังแม่นะ! พลอยไม่มีทางชนะหรอก แม้แต่ห้าคนสุดท้ายพลอยก็จะไม่เข้ารอบ”
ฮื้อออ...!!
ลูกสาวปล่อยโฮลั่นอีกครั้งกับคำพูดที่ทำให้เจ็บมากกว่าการถูกตีโดยมือแม่
“ทำไมแม่ต้องดูถูกพลอยด้วย ถ้าเป็นคนอื่นพูดพลอยจะไม่เสียใจเลย ไม่มีใครอยู่ข้างพลอยเลยสักคน แม้แต่แม่” ชีวิตข้างนอกมันโหดร้ายเกินไปสำหรับเด็กสาวผู้วิ่งตามความฝันและพยายามดิ้นรนให้มันเป็นจริง แต่เธอก็สู้มันอยู่ลำพังโดยไม่เคยได้รับกำลังใจจากใคร
“พลอย! แม่พูดเพราะหวังดีนะ”
“แต่ความหวังดีของแม่มันทำให้พลอยเจ็บ พลอยทำสิ่งนี้ได้ดีที่สุดในชีวิตและพลอยก็พยายามทำมันเพื่อแม่ คนหัวช้าอย่างพลอยเรียนจบไปจะทำงานอะไรให้แม่สุขสบายได้ล่ะ” ลูกสาวระบายความในใจที่อัดอั้น เธอมองอนาคตของตัวเองเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้ว
“นี้ยังจะดื้อกับแม่อีกใช่มั้ย”
“เชื่อในตัวพลอยสักครั้งนะคะแม่”
“เตือนแล้วก็ยังไม่ฟัง ได้! ถ้าแกไม่ยอมกลับไปเรียนงั้นก็ไม่ต้องมาพูดกัน” ในเมื่อพูดขนาดนั้นแล้วพลอยก็ยังเพ้อยังฝันว่าตัวเองจะชนะ งั้นวิธีเดียวที่จะทำให้ยัยเด็กไร้เดียงสาได้เรียนรู้ว่าไม่มีอะไรบนโลกนี้ที่ความพยายามอย่างเดียวจะชนะได้ก็คือการปล่อยให้รู้จักเจ็บด้วยตัวเอง
เวลาต่อมา
“พลอยไปก่อนนะคะแม่”
...
“สวัสดีค่ะ” ช่วงเวลาที่แสนอึมครึมระหว่างสองแม่ลูก พลอยเดินทางไปกองประกวดเพื่อซ้อมร้องเพลงและเตรียมสำหรับโชว์รอบต่อไปโดยไม่ต้องโกหกแม่อีกแต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับ
สองแม่ลูกไม่พูดหรือคุยกัน หรือความจริงก็คือแม่ฝ่ายเดียวที่ไม่สนใจลูกสาวตัวเองอีกเลย
.
.
.
“วันนี้มีแขกหรือคะ”
ณ บ้านหลังใหญ่พื้นที่ไม่น้อยห่างจากใจกลางเมืองกรุงเทพมหานครเพียงสามสิบนาที
บ้านคนไข้วีไอพีที่ที่มารินมาดูแลคือมานพ อดีตผู้บริหารสูงสุดแห่งท็อปวันเรคคอร์ดฯ
“ลูกชายฉันกลับบ้าน”
“งั้นหรือคะ” มารินไม่เคยเจอลูกชายคุณมานพสักครั้ง คนหนุ่มปล่อยบิดาอยู่กับแม่บ้านและพยาบาลพิเศษตามลำพัง นานๆ ทีจะกลับมาเยี่ยม
“แหม! นานๆ จะเจอลูกสักทีทำไมไม่ทำหน้าให้มันสดใสกว่านี้หน่อยล่ะครับ”
“งั้นเหรอ” มานพตอบกลับชายหนุ่ม ใบหน้าหล่อเหลาเอาการลงจากรถสปอร์ตหรูเดินเข้ามาทักทายบิดา
“นี้ใครเนี้ย”
“ดิฉันชื่อมารินค่ะ เป็นพยาบาลดูแลคุณมานพ” คนอาวุโสกว่าแนะนำตัวสั้นๆ มารินคาดเดาไม่ออกว่าสีหน้ายียวนกวนประสาทนี้ต้องการอะไรจากเธอแน่
“รู้ใช่มั้ยว่าฉันคือลูกชายคนโต”
“สะ ทราบค่ะ...”
“แล้วทำไมไม่ยกมือไหว้”
“ไอ้นาวา! เล่นอะไรให้มันรู้จักกาลเทศะด้วย”
“แค่หยอกเล่นน่ะครับพ่อ”
มารินกำลังงงกับความสัมพันธ์ของพ่อลูกบ้านนี้ ลูกชายคนโตดูเหมือนสนิทสนมกับบิดาดีจนพูดเล่นได้แต่สีหน้าพ่อดูไม่ใช่แบบนั้น
“อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะ”
“ผมเพิ่งสามสิบกว่าจะให้รีบแก่ไปไหน ดูหน้าพ่อกับพยาบาลสิ แก่จนต้องไปดึงรอยย่นหน่อยนะครับ”
“ไอ้...” มานพจะเอ็ดลูกชายแต่เจ้าตัวรีบเดินหนีไปแล้ว
ไม่นานต่อจากนั้นรถตู้สำหรับผู้บริหารก็จอดเทียบท่าหน้าบ้าน อีกหนุ่มที่หน้าละม้ายคล้ายกัน เขามีเสื้อสูทพาดไว้บนบ่า สีหน้าดูเคร่งเครียดจริงจังเดินเข้ามาทักทายผู้อาวุโสทั้งคู่
“สวัสดีครับ.../สวัสดีครับ”
“เหนื่อยมั้ยลูก”
“นิดหน่อยครับ พ่อมีอะไรถึงเรียกผมมาหาด่วนแบบนี้”
“พ่ออยากเจออยากคุยกับลูกๆ บ้าง ไม่ได้เหรอ” คนแก่ออกลูกอ้อน
มานพมีแต่ลูกชายไม่มีลูกสาว เวลาผู้ชายอ้อนกันมันก็จะแปลกๆ แบบนี้
“ผมมีงานต้องทำ ถ้าจะหาเพื่อนกินข้าวก็โทรเรียกไอ้นาวาสิครับ มันว่าง”
“พี่ชายเราเพิ่งมาถึงได้สักพัก เอาน่ะ! อยู่กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับพ่อสักวันนะ” คนแก่ไม่มีใครให้อ้อนอีกแล้ว
“มีอะไรพูดมาตรงๆ เถอะครับ จะได้ไม่เสียเวลา”
“เอ๊ะไอ้นี่! กินข้าวกับพ่อสักวันบริษัทมันจะเจ๊งรึไงวะ แค่ชวนลูกมากินข้าวทำไมมันยากเย็นขนาดนี้” คนแก่กุมอกข้างซ้ายแน่น พอโมโหทีไรลมมันตีขึ้นจนหายใจติดขัด
“งั้นก็ไปที่โต๊ะเลยสิครับ จะได้ไม่เสียเวลา”
ลูกชายอีกคนเดินหน้ายุ่งเข้าบ้าน ปกติแล้วพ่อไม่เคยอยากกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน แสดงว่าวันนี้ต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างและเขาหวังว่ามันจะคุ้มค่าที่ต้องสละเวลาการประชุม