พรึ่บ!!
เอี๊ยดดดดดดดดดด!
เสียงบีบแตรรถดังสนั่นพร้อมกับเสียงเบรกตามมา แทนที่ร่างกายของฉันจะได้รับบาดเจ็บจากการถูกกระแทกอย่างแรง กลับกลายเป็นความอบอุ่นของอ้อมกอดใครคนหนึ่ง เสียงลมหายใจแรง ๆ ดังขึ้นเหนือหัว ฝ่ามือหนาประคองกอดฉันแนบแน่น สร้างความอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
ฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือสร้อยเงินแสนคุ้นตาของเขาคนนั้น ฉันละสายตาขึ้นมองช้า ๆ จากลำคอ ปลายคาง ริมฝีปาก จมูก จนกระทั่งสบเข้ากับดวงตาเรียวรีสีดำสนิทที่กำลังจ้องมาด้วยความร้อนรน เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเล็กน้อยบนใบหน้าหล่อเหลา ก่อนสติสัมปชัญญะของฉันจะหมดลงพร้อมกับน้ำเสียงอ่อนโยนของเขา
“ปลอดภัยแล้วนะ… ลิลลา”
.
.
.
[บทบรรยาย แอร์บัส]
ผมกำลังจะบ้าตาย…
ให้ตายเถอะ… ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเสี่ยงชีวิตเพื่อใครแบบนี้มาก่อนเลย ไม่รู้ว่ามันเป็นสัญชาตญาณหรือว่าอะไร แต่ในวินาทีความเป็นความตายนั้น ตอนที่ผมเห็นลิลลานั่งหลับตานิ่งขณะที่รถยนต์คันหรูนั่นกำลังพุ่งเข้าใส่ตัวเธอ ร่างกายของผมมันก็ขยับไปเองโดยไม่รู้ตัว
ผมพุ่งตัวเข้าไปโอบกอดลิลลาโดยไม่ยั้งคิดใด ๆ ทั้งสิ้น ผมหันหลังให้กับแสงไฟจากรถยนต์คันนั้นเพื่อใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบังให้กับเธอ ผมทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็วอย่างไม่กลัวตายสักนิด คิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องปกป้องผู้หญิงคนนี้ให้ได้… ผมคงบ้าไปแล้วจริง ๆ ว่ะ
“พี่…”
ผมละสายตาจากใบหน้าหวานที่เปรอะเปื้อนคราบน้ำตาในอ้อมกอดตัวเองขึ้นมองต้นเสียง ร่างสูงยืนอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ผมกับลิลลานั่งคุกเข่าอยู่มากนัก หมอนั่นยืนมองลิลลานิ่งงัน แววตาวูบไหวเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นเย็นชาเหมือนเดิม
ผมพอจะรู้จากโบอิ้งมาบ้างว่าลิลลาอาศัยอยู่กับน้องชายสองคน และที่ยัยนี่ต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นนั่นก็เป็นเพราะต้องส่งเสียตัวเองกับน้องชายเรียน แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้มารับรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องที่กำลังอยู่ในขั้นย่ำแย่ขนาดนี้ ทั้งที่หมอนั่นก็ดูจะเป็นห่วงเป็นใยพี่สาวตัวเองแท้ ๆ แต่ทำไมถึงเลือกที่จะยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ทำไมถึงไม่เข้ามาหายัยนี่ละวะ?
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
ผมหันมองตามเสียงของผู้หญิงเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวที่ลงมาถามอาการด้วยความตื่นตกใจ พอหันกลับไปทางน้องชายของลิลลาอีกที หมอนั่นกลับหายไปแล้ว…
หึ… ต้องใจดำขนาดไหนถึงจะทิ้งพี่สาวของตัวเองที่กำลังหมดสติแบบนี้ไปได้กันวะ??
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ไปโรงพยาบาลไหมคะ”
“อ้อ ไม่เป็นไรครับ เธอแค่ตกใจจนหมดสติไปเฉย ๆ น่ะครับ” ผมรวบร่างบางขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาวแล้วลุกขึ้นยืน ขณะผู้หญิงเจ้าของรถเดินมาหยุดยืนด้านข้าง
“โล่งอกไปทีค่ะ ฉันเกือบจะเบรกไม่ทันอยู่แล้ว”
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ พอดีเมื่อกี้เธอสะดุดล้มเลยหลบรถคุณไม่ทัน”
“มะ ไม่เป็นไรค่ะ คุณกับแฟนไม่เป็นอะไรฉันก็สบายใจแล้วค่ะ” เธอส่งยิ้มให้ผมพร้อมกับมองลิลลาไปด้วย
ว่าแต่… ผมกับลิลลาไม่ได้เป็นแฟนกันสักหน่อย
“ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ผมยิ้มเจื่อน ๆ ให้เธอแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้ามาในตึก ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าผมไม่รู้จักห้องของลิลลานี่หว่า แล้วจะพาเธอกลับห้องถูกได้ยังไงละเนี่ย ยืนครุ่นคิดจ้องใบหน้าหวานอยู่ชั่วครู่ก็เปลี่ยนทิศทางกลับมาที่รถตัวเองพร้อมกับวางร่างบางลงบนเบาะอย่างทะนุถนอม
กระเป๋าสะพายใบเล็กถูกรื้อค้นอย่างถือวิสาสะเพื่อหากุญแจห้องหรือคีย์การ์ดของลิลลา ซึ่งก็หาเจอโดยง่ายเพราะในกระเป๋าของเธอแทบไม่ได้พกอะไรไว้เลยนอกจากกระเป๋าเงิน โทรศัพท์ และกุญแจ ยัยนี่เป็นผู้หญิงที่ไม่พกเครื่องสำอางเลยหรือไงกันนะ มีแค่แป้งเด็กขวดเล็กเท่านั้น หรือนี่คือที่มาของกลิ่นหอมอ่อน ๆ บนผิวเนียนนุ่มของเธอที่ผมเคยสัมผัสกันนะ
ช่างสมกับเป็นยัยหนูน้อยจริง ๆ เลยแฮะ แต่ก็… น่ารักชะมัด
“ห้อง 501 ชั้น 5 อืม…” ผมท่องจำเลขห้องกับเลขชั้นของลิลลาก่อนจะเก็บกุญแจห้องใส่กระเป๋าเสื้อแล้วทำการอุ้มร่างบางขึ้นมาอีกรอบ คราวนี้ผมรู้จักห้องของเธอแล้ว สามารถพาเธอขึ้นไปได้อย่างถูกห้องถูกชั้นแล้วล่ะ โชคดีที่ยัยหนูน้อยจดเอาไว้บนพวงกุญแจ สงสัยกลัวทำหล่นหายละมั้ง แอบอันตรายเหมือนกันนะเนี่ย…
ติ๊ง…
ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นห้า ผมก้าวออกมาพลางมองซ้ายมองขวาหาเลขที่ห้องของเธอ ที่นี่เป็นอพาร์ทเม้นท์ขนาดกลาง ไม่ได้ใหญ่โตหรูหราอะไร เหมาะสำหรับคนงบน้อยที่ต้องทำงานเลี้ยงตัวเองอย่างยัยนี่จริง ๆ แต่ผมว่าด้านความปลอดภัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยิ่งยัยนี่เป็นผู้หญิงอยู่ตัวคนเดียวแบบนี้ยิ่งน่าห่วงชะมัด
กริ๊ก
ผมไขกุญแจเข้ามาในห้องของลิลลาเป็นที่เรียบร้อย พยายามโฟกัสสายตาท่ามกลางความมืดเพื่อมองหาสวิตช์ไฟ แต่สายตาเหลือบไปเห็นโซฟาเสียก่อนจึงเดินฝ่าความมืดเข้าไปวางร่างบางลงบนนั้นแทน แล้วค่อยเดินหาสวิตช์เพื่อเปิดไฟอีกที
พรึ่บ
เฮ้อ… กว่าจะพาร่างอันไร้สติของยัยหนูน้อยลิลลากลับมาที่ห้องได้ เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันแฮะ
“ซิล… อย่าไปนะ… อย่าทิ้งพี่ไป… ฮึก” เสียงหวานสะอื้นนิด ๆ ขนาดหลับยังไม่วายละเมอเรียกหาน้องชาย ผมคุกเข่าลงตรงหน้าโซฟา สายตาจับจ้องใบหน้าหวาน มือเอื้อมไปเช็ดคราบน้ำตาด้วยความลืมตัว
ไม่รู้ทำไมจู่ ๆ ก็มีความรู้สึกประหลาด ๆ ผุดขึ้นมา ความรู้สึกที่ผมเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน
“ไม่เป็นไรแล้วนะ… เฮียอยู่ตรงนี้แล้ว”