“โอะโอ นั่นใช่ลิลลาหรือเปล่านะ แหม บังเอิญจังเลยแฮะ”
ฉันสะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงทักทายของใครคนหนึ่ง ร่างสูงเดินเข้ามาหยุดยืนด้านข้างโต๊ะ ใบหน้าหล่อแสนเจ้าเล่ห์แย้มยิ้มนิด ๆ สร้างความประหลาดใจให้กับฉันอย่างมาก
“เฮียบัส… เฮียมาทำอะไรที่นี่?” ฉันถามคำถามเดิม ๆ ออกไปโดยไม่รู้ตัว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมทุกครั้งที่เจอหน้าแอร์บัสฉันถึงต้องถามคำนี้เสมอ ชีวิตฉันกับเขาจะบังเอิญเจอกันบ่อยเกินไปไหมบางที
“มาร้านอาหารก็ต้องมากินข้าวสิ” เขายิ้มตอบก่อนจะหันไปหาขุนทัพ “อ้าวไอ้ขุน ก็นึกว่าลิลลามากับใคร ที่แท้ก็คนกันเอง”
“…” เพราะเขาทักขุนทัพ แต่ขุนทัพกลับไม่พูดอะไร ฉันจึงเป็นฝ่ายอธิบายแทนเพราะไม่อยากให้แอร์บัสเข้าใจเราสองคนผิด ๆ ฉันไม่อยากสร้างความวุ่นวายให้กับขุนทัพด้วย
“เอ่อคือ… พอดีเราสองคนเพิ่งเสร็จจากงานก็เลยแวะมาหาอะไรทานกันน่ะ”
“อ้ออ… อย่างนี้นี่เอง” ทำไมแอร์บัสต้องลากเสียงสูงขนาดนั้นด้วยนะ แล้วไอ้แววตาเจ้าเล่ห์นี่มันคืออะไร “สนใจไปนั่งกับพวกเฮียไหมล่ะ เผื่อพี่น้องเขาจะอยากร่วมโต๊ะกัน”
แอร์บัสเอ่ยชวนพร้อมกับพยักพเยิดไปทางมุมหนึ่งของร้าน ฉันมองตามก็พบว่ายังมีผู้ชายอีกสามคนนั่งอยู่ตรงนั้น และแน่นอนว่าพวกเขาก็คือกลุ่มเพื่อนของแอร์บัสนั่นเอง ซึ่งรวมไปถึงหน่วยรบ พี่ชายของขุนทัพด้วย
“เอ่อ…” ฉันอึกอักอย่างไม่รู้จะตอบว่าไง ได้แต่มองขุนทัพเป็นเชิงปรึกษา
“ไม่จำเป็น พวกเราต้องการความเป็นส่วนตัวมากกว่า”
ขุนทัพปฏิเสธด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ เขาไม่ได้มองหน้าแอร์บัสเลยสักนิด สายตาเขาจับจ้องมาที่ฉันแล้วตักอาหารใส่จานให้ เขาทำราวกับว่าผู้ชายที่กำลังยืนอยู่คืออากาศธาตุ ฉันมองเขาสลับกับแอร์บัสด้วยความกระอักกระอ่วนใจสุด ๆ ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอะไรหรือพูดอะไรในสถานการณ์แบบนี้ดี
แต่ที่รู้ ๆ ตอนนี้สีหน้าของแอร์บัสไม่ได้ยิ้มอีกต่อไปแล้ว แม้ริมฝีปากจะยกยิ้มอยู่บ้าง แต่แววตากลับน่ากลัวแปลก ๆ เขาเป็นอะไรอีกละเนี่ย
“อ้อ เข้าใจแล้ว งั้นเฮีย… ไม่กวนความเป็นส่วนตัวของเธอแล้วนะลิลลา” ร่างสูงก้มลงมากระซิบข้างหู ฉันรีบขยับหนีด้วยความตกใจ ใบหน้าร้อนเห่อขึ้นมาดื้อ ๆ แอร์บัสคิดจะทำอะไรเนี่ย จู่ ๆ ก็ก้มมาประชิดกันขนาดนี้เลย “เอาไว้คราวหน้าเราค่อยมาคุยเรื่อง ‘คืนนั้น’ แล้วกันนะ”
เรื่องคืนนั้น? เขาหมายถึงเรื่องไหนกัน?! ฉันงงไปหมดแล้วนะ!
“…”
แอร์บัสจงใจทิ้งประโยคปริศนาเอาไว้ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่โต๊ะตัวเอง ฉันมองตามหลังเขาด้วยความรู้สึกมึนงง พอหันกลับมาหาขุนทัพก็พบว่าเขากำลังมองไปทางโต๊ะของแอร์บัสด้วยสายตาเย็นชาสุด ๆ สีหน้าเขากลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว ราวกับว่าความอบอุ่นเมื่อครู่มันจางหายไปทันทีที่แอร์บัสเข้ามา
“เอ่อ… เรากลับกันเลยไหม?”
เพราะทนต่อความอึดอัดนี้ต่อไปไม่ไหว ฉันเลยเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน ฉันไม่ค่อยชินกับบรรยากาศกดดันแบบนี้สักเท่าไหร่ ยิ่งมีสายตาคม ๆ จ้องมาจากอีกโต๊ะหนึ่ง ฉันก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าแอร์บัสจะมองทำไมนักหนา แล้วยังจะเรื่องคืนนั้นที่เขาพูดถึงนั่นอีก… เฮ้อ!
“อืม เดี๋ยวฉันไปส่ง”
ขุนทัพลุกขึ้นพร้อมฉันก่อนจะทำเรื่องน่าตกใจด้วยการคว้ามือฉันไปจับแล้วพาเดินออกมาจากร้าน ฉันมัวแต่นิ่งอึ้งไปกับการถูกจู่โจมจากคนที่ตัวเองแอบปลื้มจึงไม่ทันได้ขัดขืนอะไร ปล่อยให้เขาจับมือจูงออกมาแต่โดยดี
โอ๊ย… วันนี้มันวันอะไรเนี่ย… ทำไมรู้สึกเหมือนขุนทัพกำลังรุกฉันเลยละเนี่ย! บ้าน่า… หลงตัวเองอีกแล้วนะยัยลิลลา >‘น่า ๆ เลิกคิดมากได้แล้ว เดี๋ยววันศุกร์นี้เราก็ได้ไปดริ๊งกันให้หายเครียดแล้ว รีแลค ๆ น่าเพื่อน’
‘วันศุกร์นี้?’
‘ใช่ ก็ที่พวกขุนทัพกับไอ้ไม้เสียบผีนั่นชวนเราไปเที่ยวผับวันศุกร์นี้ไง นี่แกลืมเหรอยัยลิล ฉันโทรไปชวนแกแล้วนะ’
อ่า… ฉันลืมเรื่องนี้เป็นรอบที่สอง… ขอโทษนะโบอิ้ง ถ้าแกรู้แกคงฆ่าฉันแน่ ๆ
“เธอจะไปไหม?”
ฉันดึงความคิดตัวเองกลับมาที่ขุนทัพอีกครั้ง ก่อนพยักหน้ารับ “อือ ไปสิ”
“อืม… ฉันจะรอนะ”
ฉันไม่ทันได้มองว่าขุนทัพทำสีหน้าแบบไหน เห็นแค่ว่ามุมปากเขายกยิ้มนิด ๆ ก่อนจะขับรถออกไป ฉันมองตามท้ายรถคันหรูด้วยความไม่เข้าใจ
ทำไมพวกผู้ชายถึงได้เข้าใจยากขนาดนี้กันนะ…