21:15 PM
“กลับบ้านดี ๆ นะลิล วันนี้ขอบคุณมากนะ ดึกไปหน่อย”
“อ้อ ไม่เป็นไรค่ะพี่ภีม งานผ่านไปด้วยดีลิลก็สบายใจแล้วค่ะ แถมยังได้เงินพิเศษเพิ่มอีก ขอบคุณมากนะคะ” ฉันโค้งตัวขอบคุณพี่ภีมขณะกำลังจะกลับบ้าน
เนื่องจากวันนี้บริษัทรับงานพากย์ด่วนเข้ามา ทำให้พวกเราต้องทำงานล่วงเวลา เพื่อให้งานเสร็จทันตามกำหนด ซึ่งมันก็คุ้มกับเงินค่าจ้างที่ได้รับมาละนะ ฉันเดินออกมากดลิฟต์พร้อมกับดูนาฬิกาข้อมือไปด้วย วันนี้ไม่มีงานต่อที่ไหนแล้ว แถมยังหิวมากด้วย คงต้องฝากท้องกับบะหมี่ที่ซุเปอร์มาร์เก็ตอีกแล้ว
“จะกลับแล้วเหรอ”
“อ่ะ… ขุนทัพ”
จังหวะที่ฉันก้าวเข้ามาภายในตัวลิฟต์และประตูลิฟต์กำลังจะปิด จู่ ๆ ก็ถูกมือหนากั้นเอาไว้ก่อนจะแทรกตัวเข้ามายืนด้านข้างกัน ฉันเงยหน้าขึ้นมองขุนทัพด้วยความรู้สึกประหม่า ปกติเราไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้ นอกจากในห้องอัดเสียงน่ะนะ
“ต้องไปไหนต่อหรือเปล่า?” เขาถามโดยไม่ได้มองหน้าฉัน แต่ถึงอย่างนั้นก็คงถามฉันนั่นแหละ
“อ้อ เปล่าน่ะ คงจะกลับห้องเลย”
“เหรอ… งั้นไปหาอะไรกินกันไหม?” คราวนี้เขาหันมาสบตากับฉันตรง ๆ คำชวนบวกกับสายตานุ่มลึกของเขา ทำหัวใจฉันสั่นระรัวไปหมด
อ่า… เขากำลังชวนฉัน ขุนทัพกำลังชวนฉันงั้นเหรอ?
“ว่าไง ฉันรอคำตอบจากเธออยู่นะ”
“อ่ะ… เอ่อ” ฉันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อประตูลิฟต์เปิดพร้อมกับมือหนาที่ยกขึ้นค้ำบานประตูเอาไว้ไม่ให้มันปิด แถมยังยื่นใบหน้าหล่อ ๆ เข้ามาใกล้กันอีกต่างหาก ทำแบบนี้ฉันก็ยิ่งเขินน่ะสิ!
“ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะ ฉันไม่ว่า”
“มะ ไม่ใช่นะ สะ… สะดวกสิ” ฉันก้มหน้าก้มตาตอบตกลง ไม่ได้มองว่าขุนทัพกำลังทำสีหน้าแบบไหน มันเขินเกินไป หัวใจก็เต้นแรง อาการแบบนี้เป็นเหมือนกันทุกคนหรือเปล่านะ เวลาอยู่ใกล้ ๆ คนที่เราชอบน่ะ
โอ๊ย… นี่ฉันฝันอยู่หรือเปล่าเนี่ย
.
.
.
[บทบรรยาย แอร์บัส]
“นึกไงนัดพวกกูมาร้านแบบนี้วะไอ้พัน น้ำหน้าแบบมึงเหมาะกับที่อโคจรมากกว่านะ”
หลังจากนั่งลงบนโต๊ะวีไอพีของร้านอาหารกึ่งบาร์ที่นับพันมันโทรตามพวกผมสามคนมา ผมก็อดไม่ได้ที่จะแซะมันตามประสา ก็แหม… ปกติพวกผมไม่ค่อยเข้าร้านแบบนี้หรอก ส่วนมากสิงสู่กันอยู่ในผับไม่ก็สนามแข่งนั่นแหละ
“กูก็อยากมาหาอะไรแดกชิล ๆ บ้างอะไรบ้าง อีกอย่าง…” นับพันยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูก่อนจะยกเหล้าขึ้นดื่ม “เฟรย์กำลังมาด้วย”
“เฟรย่ากำลังมา? เมียมึงอะนะ”
“เออดิ กูนัดเฟรย์ไว้ว่าจะไปบ้านพ่อตาน่ะสิ แต่อีกตั้งชั่วโมงกว่ายัยนั่นจะเสร็จธุระ เลยเรียกพวกมึงมานั่งแดกข้าวเป็นเพื่อนเนี่ย”
สุดท้ายจุดประสงค์ของมันก็ไม่พ้นเรื่องของเมียเหมือนเดิม ไอ้เสือนี่นะ พักหลัง ๆ ตั้งแต่มีเมียก็เปลี่ยนไปเยอะ สงสัยจะสิ้นลายแล้วจริง ๆ เหอะ ๆ
“เอ้า ๆ จะแดกไรก็สั่ง มื้อนี้กูเลี้ยงเอง” มันหยิบเมนูส่งให้พวกผม เจสันกับหน่วยรบสั่งกันคนละอย่างสองอย่าง ส่วนผมยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่เลยไม่ได้สั่งอะไร
“ไม่กินไงมึง”
“ไม่ว่ะ แค่ไอ้นี่ก็พอละ” ผมยกแก้วเหล้าขึ้นโชว์หน่วยรบ มันส่ายหน้าแล้วก้มกดโทรศัพท์กลับเข้าโหมดโลกส่วนตัวต่อ ส่วนนับพันกับเจสันมันก็หันไปคุยกันเรื่องรถที่ผมไม่ค่อยพิศวาสสักเท่าไหร่ ผมเลยหันไปมองบรรยากาศรอบ ๆ ร้านแทน
บรรยากาศร้านอาหารแนวนี้ก็สบายหูสบายตาดีนะ ขาดแต่ผู้หญิงสวย ๆ หุ่นบึ้ม ๆ มาวาดลีลาร้อนแรงบนฟลอร์นี่น่ะสิ แหม… จะว่าไปช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้เที่ยวสักเท่าไหร่เลยแฮะ ไม่รู้สิ… มันเบื่อ ๆ เนือย ๆ ยังไงไม่รู้ น่าแปลกจริง ๆ
ขณะที่ในหัวกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ สายตาผมไปสะดุดกับใบหน้าคุ้น ๆ ของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ห่างจากโต๊ะพวกเราพอสมควร แสงไฟสลัว ๆ ทำให้มองเห็นหมอนั่นไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่ผมก็จำมันได้นะ
“นั่นมันน้องชายมึงหรือเปล่าวะไอ้หน่วย” คำถามของผมเรียกสายตาจากอีกสามคนแทบจะทันที หน่วยรบชะเง้อมองเล็กน้อยก่อนจะทำหน้าเฉย ๆ เหมือนเดิม ผมเลยถามมันอีกรอบ “สรุปใช่ปะวะ”
“เออ ทำไม มึงมีปัญหาอะไรกับมันล่ะ”
“ก็เปล่า กูแค่ถามเฉย ๆ” ผมปฏิเสธ เมื่อแน่ใจว่าเป็นขุนทัพจริง ๆ พวกผมไม่สนิทกับหมอนั่นหรอก ออกไปทางไม่ชอบขี้หน้าหน่อย ๆ ด้วยซ้ำ เพราะไอ้นิสัยหน้านิ่ง พูดน้อยเหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้องนี่แหละทำให้ผมหมั่นไส้
“แล้วน้องมึงมากับสาวที่ไหนวะ กูว่าหน้าคุ้น ๆ”
“So Prettty”
คราวนี้นับพันมันเป็นคนถามตามด้วยเจสันเอ่ยชม ทำต่อมอยากรู้ของผมกระพือเลยทีเดียว
“นั่นมัน… เพื่อนรักน้องสาวมึงนี่ไอ้บัส”
หืม… เพื่อนรักน้องสาวผม?
“ลิลลา…” เหรอวะ…?
ผมพูดชื่อเธอออกมาเบา ๆ ขณะเอียงตัวมองหน้าผู้หญิงคนนั้นชัด ๆ จากองศาที่ผมนั่งอยู่ทำให้มองเห็นแค่ด้านหลังของเธอ ต่างจากองศาของนับพันที่เห็นเธอได้ชัด จึงไม่แปลกที่มันจะจำเธอได้ก่อนผม แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ… ตอนนี้ชักอยากรู้แล้วว่าทำไมยัยหนูน้อยถึงมากับขุนทัพได้??