ถึงเวลามื้อเย็นฉันอาสาป้อนข้าวน้องพายเพราะไม่อยากไปนั่งร่วมโต๊ะกับประธานของงานวันนี้ ที่จริงหลานรักของฉันสามารถจับช้อนกินเองได้แล้วแต่ฉันก็อยากนั่งอยู่ตรงนี้มากกว่าตรงนั้น
"อร่อยมั้ยคะ"
"อร่อยค่ะ อาโบไม่กินเหรอคะ"
"กินค่ะ แต่ตอนนี้ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่" ที่จริงหิวมากจนกินช้างได้ทั้งตัว แต่เพราะอีพ่อหมีที่นั่งยิ้มไม่หุบอยู่ไกลๆนั่นแหละที่ทำให้ฉันไม่อยากไปนั่งอยู่ตรงนั้น เขาดูอารมณ์ดีไม่เหมือนคนที่เพิ่งโดนดุมาเลย
"อาโบท้องร้อง น้องพายได้ยิน"
"พ่อหมีเอาข้าวมาป้อนแม่หมีแล้วครับ" ให้ตายสิ โผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่เมื่อกี้ยังนั่งอยู่บนโต๊ะอยู่เลย แล้วจานข้าวในมือนั่นอย่าหวังดีจนเกินหน้า กอดฉันโชว์ทุกคนยังไม่พอนี่ถือจานข้าวมาป้อนอีก เกินไปแล้ว
"ดีจังเลยค่ะ แม่หมีท้องร้อง" เด็กหนอเด็ก ดุไม่ลงเพราะเป็นหลานรัก
"น้องโบมากินข้าวได้นะ เดี๋ยวพี่ไปดูน้องพายเอง"
"ไม่เป็นไรค่ะพี่พิม" ไม่ได้อยากอยู่ใกล้ตานี่นักหรอก แค่ไม่อยากให้พี่พิมเหนื่อยแล้วก็ได้นั่งกินข้าวกับพี่เกื้อนาน ๆ อะไรที่พอแบ่งเบาได้ฉันก็จะทำเพื่อตอบแทนความเอ็นดูที่ทุกคนมีให้ ยกเว้นอีตาประธานพ่อหมีคนข้างๆ
"กินเองได้ค่ะ"
"ดูสายตาลูกหมีของเราสิ" เขาโน้มต่ำลงมากระซิบข้างหู อีกหนึ่งเรื่องที่ฉันแคร์คือน้องพาย ฉันไม่อยากทำร้ายจิตใจหลานอีกครั้ง
"ฉันไม่ชอบกินเผ็ด"
"ลืมเลย ขอโทษๆ" เขาลนลานลุกกลับไปที่โต๊ะเปลี่ยนจานใหม่ให้ฉันทันที ทำเป็นลืมคนอย่างเขาเคยจำอะไรที่ไหน น้องพายวางช้อนในมือแล้วบอกอิ่มเป็นจังหวะเดียวกับที่พี่เกื้อเดินมาทางนี้พอดี
"อิ่มแล้วใช่มั้ยครับ ปะ ไปแปรงฟังกัน"
"แต่น้องพายยังไม่อยากขึ้นห้องตอนนี้นี่คะ" มื้อเย็นล่วงเลยมาจนถึงช่วงค่ำ น้องพายเพิ่งหายป่วยอีกอย่างเด็กวัยนี้ควรเข้านอนเร็ว
"พรุ่งนี้อาโบจะมาหาน้องพายใหม่ วันนี้คนเก่งของอาโบต้องเข้านอนก่อนนะคะ" ทั้งสงสารแล้วก็เห็นใจ พี่เกื้อเองก็คงไม่อยากบังคับลูกเพราะจำเป็นจริง ๆ จึงต้องทำ
"ก็ได้ค่ะ" พี่เกื้ออุ้มน้องพายเดินขึ้นชั้นบน สักพักตัววุ่นวายก็กลับมาพร้อมข้าวจานใหม่
"อะ จานใหม่"
"น้องพายไปแล้ว ฉันกินเองได้ค่ะ"
"โกรธมากใช่ไหม" ถ้าเขาหมายถึงเรื่องในห้องน้ำ แน่นอนฉันโกรธ โกรธมากๆด้วย
"อยากรู้ไปเพื่ออะไร"
"คุยกันหน่อยได้มั้ยโบใหญ่" พี่พิมเดินตามพี่เกื้อขึ้นไปชั้นบน คุณป้าวจีขอตัวกลับก่อนเพราะมีงานสังคมต่อ ส่วนพ่อของฉันวันนี้ติดธุระเลยมาไม่ได้ ตอนนี้ก็เหลือแค่ฉันกับเขาแค่สองคน
"คุยอะไรคะ ถ้าจะขอโทษโอเคฉันรับรู้แล้ว"
"รับรู้แล้ว หายโกรธมั้ย" เขาวางจานข้าวในมือลงแล้วนั่งลงบนโซฟาตัวตรงข้ามมองหน้าฉันรอคำตอบ หายโกรธเหรอ? ที่จริงฉันก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจนักหรอก ถ้าเขายังเข้าใจผิดอยู่ก็จะกวนประสาทกลับเอาให้บ้าไปเลย
"โกรธไปก็ทำให้ทุกข์ ฉันไม่ว่างนั่งโกรธใครหรอกค่ะ"
"เสียใจเรื่องแม่เธอด้วยนะ"
"ขอบคุณ"
"ได้ข่าวว่าจะเรียนต่อ มีอะไรปรึกษาฉันได้นะ" เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยแต่ก็ดีฉันก็เบื่อทะเลาะแล้วเหมือนกัน
"ไม่เป็นไรค่ะ โบมีพี่เกื้อ"
"เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ เธอก็เหมือนน้องสาวฉัน อยากให้ช่วยอะไรบอกได้นะ"
"ฉันมีพี่เกื้อเป็นพี่ชายแค่คนเดียวค่ะ"
"เธอจะใจร้ายกับฉันมากเกินไปแล้วนะ เมื่อก่อนยังทำแผลหาข้าวหาน้ำให้ฉันกินอยู่เลย" ย้อนความหลังเพื่ออะไร ตั้งกี่ปีมาแล้ว ฉันเองก็ไม่อยากจะช่วยนักหรอกแค่เห็นใจเพื่อนร่วมโลกจะปล่อยให้ตายก็กลัวเป็นบาปติดตัว
"ทำบุญค่ะ"
"ยังโกรธอยู่เหรอ"
"ไม่โกรธแล้วค่ะ"
"แต่เธอทำหน้าตึง เสียงก็แข็ง จะให้ฉันทำยังไงเธอถึงจะยอมคุยดีๆกับฉัน" เขาถูกคุณป้าวจีบังคับมาแน่ ๆเลย
"ไม่ดีตรงไหนคะ"
"กลับยังไง เดี๋ยวไปส่ง" เขาเปลี่ยนเรื่องเร็วจนฉันเริ่มตามไม่ทัน
"นี่คุณ ไม่ต้องอะไรทั้งนั้นแหละแค่ต่างคนต่างอยู่ " ฉันเริ่มเสียงดัง จะตื๊อไปถึงไหน
"ไม่"
"คาดเข็มขัดด้วย ชอบให้ขับรถเร็วมั้ย" สุดท้ายฉันก็ต้องยอมให้เขาไปส่งเพราะน้องพายงอแงไม่ยอมให้พี่เกื้อไปไหนเลย พอขึ้นรถมาฉันก็ถูกสั่งให้คาดเข็มขัดเรื่องนี้ฉันรู้อยู่แล้วไม่ต้องสั่งหรอก ส่วนเรื่องขับรถเร็วน่ะเหรอ
"ยังไงก็ได้ค่ะ แล้วแต่คุณ"
"ช้าๆก็แล้วกัน จะได้คุยกันนานๆ " แล้วแต่เขาเลย ฉันยังไงก็ได้ พอคาดเข็มขัดเสร็จรถก็เคลื่อนออกจากที่เดิมอย่างช้า ๆ เขาทำลายความเงียบภายในรถด้วยการเปิดเพลงสากลสบาย ๆ จนทำให้ฉันเองก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลายไปด้วย
"ที่พักฉันอยู่หลังบริษัทค่ะ" เผื่อเขายังไม่รู้
"รู้แล้ว พี่เกื้อบอกฉันแล้ว ทำไมถึงไม่ขอห้องพักของบริษัท"
"ห้องพักที่ฉันเช่าอยู่ก็สะดวกสบายดีค่ะ เก็บไว้ให้คนที่บ้านอยู่ไกลดีกว่า"
"วานเอื้อมหยิบถุงกระดาษข้างหลังให้หน่อยสิ" ฉันเหลือบมองหน้าเขาแล้วหันไปมองข้างหลัง ไฟริมถนนส่องเข้ามาเป็นระยะทำให้พอมองเห็นว่ามีถุงกระดาษใบโตหลายใบวางอยู่
"ทั้งหมดเลยเหรอ"
"อืม" เขาพยักหน้าแล้วตั้งใจขับรถต่อ ฉันปลดเข็มขัดเพื่อง่ายต่อการขยับตัวเอื้อมไปหยิบ
"แค่ถุงเดียวก็เต็มแล้ว"
"ถุงเดียวก่อนก็ได้ ลองดูสิว่าชอบมั้ย" อะไร? ฉันก้มมองของในถุง ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรเลยหยิบออกมาดู
"น้ำหอม"
"ของฝากไง"
"ตั้งใจซื้อมาฝากใครก็เอาไปให้เขาสิ" โกหกชัด ๆ เขาน่ะเหรอจะซื้อของมาฝากฉัน
"เธอไง ทั้งหมดนั่นเลย ไม่ได้มีแค่น้ำหอมนะ กระเป๋าก็มีฉันคิดว่ากลับมาเธอก็คงเรียนจบแล้ว ก็เลยตั้งใจซื้อของพวกนี้มาให้เพื่อเป็นของขวัญแสดงความยินดี แต่ว่า " ฉันไม่ได้เรียนต่อ แม่ก็เสีย ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่หวังเอาไว้เลยสักอย่าง แต่ก็...ขอบคุณนะ
"คุณเก็บไปเถอะ"
"ได้ งั้นเปิดกระจก ถ้าไม่เอาก็ทิ้งเลย" ฉันหันมองหน้าเขาที่กำลังไม่สะทกสะท้านกับประโยคเมื่อสักครู่ของตัวเองที่พูดออกมา น้ำหอมขวดที่ฉันถืออยู่ราคาหลักหมื่น มันไม่ใช่แค่ขวดเดียวแล้วของที่อยู่ในถุงข้างหลังอีก ระดับเขาคงไม่ซื้อของราคาสิบมาหรอกใช่มั้ย
"นี่คุณอย่ามาอวดรวยนะ ของพวกนี้แพงๆทั้งนั้นทำไมไม่เสียดายบ้าง"
"เธอยังไม่เสียดายเลย ทำร้ายน้ำใจฉันมากเลยรู้มั้ย" อะไรของเขาอีกเนี่ย ฉันไม่รับก็เอาไปให้คนอื่นที่เขาอยากได้สิ จะให้โยนทิ้งข้างแบบนี้มันไม่มักง่ายไปเหรอ
"ฉันหายโกรธแล้วจริงๆ คุณไม่ต้องให้ของพวกนี้ฉันก็ได้"
"ฉันตั้งใจซื้อมาให้เธอจริง ๆ หลายเรื่องที่ฉันอยากขอบคุณ อันนี้เรื่องจริง"
"แต่ก็ไม่ต้องแพงขนาดนี้ก็ได้" ทั้งหมดนั่นกี่แสนกันหรือเหยียบหลักล้าน ฉันไม่อาจคาดเดาได้เลย
"เทียบไม่ได้กับที่เธอเคยช่วยฉัน" นึกย้อนกลับไปวันนั้น ผู้ชายคนข้างๆคนนี้ทำตัวเป็นนักเลง คู่อริเต็มไปหมด มีเรื่องไม่เว้นวันเขาไม่ยอมกลับบ้าน ไม่ยอมไปทำแผลที่โรงพยาบาลเพราะกลัวจะถูกส่งกลับบ้าน ทุกเย็นฉันต้องกลับมาเอาของและอาบน้ำที่บ้านต้องเจอเขานั่งพิงประตูสภาพดูไม่จืดแทบจะทุกครั้ง
"ทำแผลให้หน่อย วันนี้ซื้อแอลกอฮอล์มาให้ด้วย" เจ้าของร่างสูงสภาพสะบักสะบอมชูถุงสีขาวในมือให้ฉันเห็น ออกปากไล่ก็เท่านั้นเขามันหน้ามึนและหน้าด้านที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอ
"สำลีก็หมด"
"ซื้อมาด้วย วันนี้มีแผลใหญ่ที่แขนด้วย เธอเย็บแผลเป็นมั้ย" ฉันตกใจไม่ทันได้มอง พอบอกมีแผลใหญ่ที่แขนต้องเย็บฉันเลยรีบขยับเข้าไปดู
"นี่ฉันเพิ่งเรียนพยาบาล ยังไม่ได้เป็นพยาบาลสักหน่อย ทำไมถึงได้หางานใหญ่แบบนี้มาให้ห๊ะ" ฉันบ่นแล้วรีบประคองเขาเข้าบ้าน เลือดไหลใกล้หมดตัวอยู่แล้ว
"จะได้เก่งๆไง"
"ทำพูด ต้องไปโรงพยาบาล ฉันจะโทรเรียกรถให้แบบนี้ไม่ไหวหรอก"
"ฉันฝืนสังขารมาหาเธอเพราะไม่อยากไปโรงพยาบาล เธอยังจะเรียกรถพยาบาลมารับฉันอีกเหรอ"
"ฉันไม่เย็บแผล"
สุดท้ายแผลที่แขนของเขาก็เป็นฝีมือฉันเองที่เย็บจนเสร็จ คนเจ็บนอนหลับไปแล้วเพราะเสียเลือดมาก ดีที่ยังไม่ตายเขาบอกว่าขอนอนสักตื่นแล้วจะให้คนที่บ้านมารับ ฉันเองก็ยังไม่กล้าปลีกตัวไปไหนเพราะกลัวเขาช็อกตายคาบ้าน
"ฉันไม่ตายง่ายๆหรอก ทำหน้าเสียไปได้" เขาปรือตาแล้วพึมพำ
"จะตายไปตายที่อื่น นี่บ้านฉันมีแค่ผีบ้านผีเรือนก็พอ"
"ขอบใจที่เย็บแผลให้ จะไม่ลืมพระคุณเลย"
"บวชให้ก็ได้นะ" เขาหัวเราะแต่ลืมไปว่าแผลที่แขนกำลังตึง
"ได้อยู่แล้ว"
"บ้าบอ บวชให้แม่นายเถอะ" สักพักเราสองคนก็นั่งหัวเราะ มันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันฉันไปแล้ว วันไหนที่เขาไม่มานอนอยู่หน้าบ้านก็จะรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย แต่ก็แอบโล่งใจที่วันนั้นเขาไม่เจ็บตัว
"ขอโทษนะที่ไปแล้วไม่ได้บอก" ฉันสะดุ้งหลังจากที่นั่งคิดถึงเรื่องในอดีตเพลินๆ รถจอดแล้ว ข้าง ๆ ก็คือห้องพักของฉัน
"คุณพูดว่าอะไรนะคะ"
"ขอโทษที่หายไป"
"ขอโทษทำไม ขอบคุณนะคะที่มาส่ง" ฉันกำลังจะเปิดประตูแต่ก็ถูกมือหนาดึงเข้าไปกอดก่อน เขาเร็วมากจนฉันตั้งตัวไม่ทัน รู้ตัวอีกทีหน้าก็เข้าไปซุกอยู่ที่อกของเขาแล้ว
"ฉันคิดถึงเธอนะ โบใหญ่"
"เอ่อ"
"ฉันแค่อยากพูดสิ่งที่ฉันรู้สึกมาตลอด แล้วก็ขอโทษอีกครั้งกับเรื่องที่ฉันเข้าใจผิด พรุ่งนี้เจอกันนะ" พอพูดจบเขาก็ปล่อยฉันแล้วเดินลงไปเปิดประตูให้
"ขอบคุณค่ะ"
"ฉันจะหาห้องพักของบริษัทให้ ย้ายออกจากที่นี่ซะ ดูสิกล้องวงจรปิดก็ไม่มี อันตราย"
"ไม่เป็นไรค่ะ"
"เธอคือพนักงานบริษัทของฉันแล้ว"
"แต่ว่า"
"พรุ่งนี้เจอกัน ฝันดี"
-----