ร้อนชะมัดเลยแฮะ…
เหงื่อเม็ดใสบนหน้าผากถูกปาดออกลวก ๆ ขณะเดินออกจากสนามบาส ตอนแรกตั้งใจว่าจะตรงกลับบ้านเพื่ออาบน้ำชำระล้างเหงื่อไคลจากการเล่นบาสเมื่อครู่ แต่สายตาดันเหลือบไปเห็นเจ้าลูกแมวตัวน้อยสีขาวขุ่นเดินหายแวบเข้าไปหลังตึกคณะ สองเท้าจึงเปลี่ยนทิศทางตามร่างเล็กจ้อยนั่นไป
ฉันหยุดยืนตรงซอกตึกหลังคณะที่กลายเป็นที่พักอาศัยของเจ้าชานม สายตาหยุดนิ่งอยู่กับบ้านไม้สัตว์เลี้ยงหลังเล็ก ๆ ดูสวยงามที่ภายในมีผ้าผืนใหญ่ปูรองไว้ ด้านหน้าบ้านก็มีชามนมและชามอาหารวางอยู่ด้วย
“เอ๊ะ… แกมีบ้านแล้วงั้นเหรอ” ฉันย่อตัวนั่งยอง ๆ ตรงหน้าบ้านเจ้าชานม มันยื่นหัวออกมาส่งเสียงร้องตอบฉัน ท่าทางดูมีความสุขแถมเนื้อตัวก็ดูอ้วนขึ้นนิด ๆ ด้วย “อะไรกัน ๆ ฉันไม่มาแค่ไม่กี่วัน แกสุขสบายขนาดนี้เลยหรือเนี่ย มีบ้านอยู่ซะด้วยแฮะ ว่าแต่ใครเป็นคนดูแลแกละเนี่ย หื้ม…”
ตึก…
“อะ อ้าว… เธอนั่นเอง” เสียงทักจากด้านหลังดังขึ้นพร้อมเสียงฝีเท้าหยุดลง ฉันเอี้ยวตัวมองก็พบกับร่างสูงในชุดเสื้อช็อปสีเลือดหมูเข้มตัดรับกับเรือนผมสีเทาควันบุหรี่กำลังยืนถือกล่องนมและอาหารแมวอยู่ในมือ “มาแล้วเหรอ”
“นายนั่นเอง” ฉันหันกลับมายื่นมือลูบหัวเจ้าชานมเบา ๆ ขณะที่ร่างสูงเดินเข้ามาทิ้งตัวนั่งยอง ๆ ด้านข้างกัน ฉันขยับตัวเปิดทางให้เขาเล็กน้อยพลางมองนมกับอาหารที่ถูกเทใส่ชามตรงหน้า “คนที่ดูแลเจ้านี่อย่างดีก็คือนายหรอกเหรอแสงเหนือ”
“อื้อ เพราะเอากลับไปเลี้ยงไม่ได้ ฉันเลยทำบ้านให้มันแทน” แสงเหนืออุ้มเจ้าชานมขึ้นแล้วเดินไปที่ม้านั่ง ฉันจึงเดินไปนั่งด้านข้างเขาบ้าง
“อ้อ บ้านนี่นายเป็นคนทำเองเหรอ” ฉันหันมองบ้านไม้สัตว์เลี้ยงหลังเล็กด้วยความสนอกสนใจ “ไม่น่าเชื่อแฮะ นายไปเอาไม้พวกนี้มาจากไหนเนี่ย แล้วตัวเองก็เรียนวิศวคอมฯ ไม่ใช่เหรอ ทำอะไรพวกนี้เป็นด้วยหรือนี่ แถมยังทำออกมาได้สวยมากเลยด้วย”
“มันก็ไม่ยากหรอก ส่วนไม้พวกนั้นก็ได้มาจากเพื่อนต่างคณะน่ะ”
“น่าทึ่งแฮะ” ฉันชมเปาะ รู้สึกทึ่งจริง ๆ นั่นแหละ เพราะบ้านสัตว์เลี้ยงนี่สวยมากจนคิดว่ามีใครสั่งซื้อมาประกอบให้มันซะอีก
“เธอเองก็น่าทึ่งเหมือนกันนะ”
เอ๊ะ… หมายความว่ายังไง?
ฉันหันกลับมาสบตาแสงเหนือด้วยความไม่เข้าใจในคำพูดของเขา ดวงหน้าหล่อ ๆ ที่ใคร ๆ บอกว่าเย็นชาบัดนี้มันแลดูอ่อนโยนลงมาก ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมีแต่คนคิดว่าแสงเหนือเข้าถึงยากกันนะ ฉันก็เห็นว่าเขาดูเข้าถึงง่ายดีออก
“ไนซ์ชู๊ตเมื่อกี้น่าทึ่งมาก ๆ”
“อะ อ้อ นายเห็นด้วยเหรอ” พอเขาพูดถึงไนท์ชู๊ตฉันก็เข้าใจทันที หมายถึงการเล่นบาสของฉันเมื่อกี้งั้นสินะ
“อืม เห็นตอนเดินไปซื้อนมกับอาหารน่ะ ไม่คิดว่าเธอก็เล่นบาสเป็นด้วย”
“ผิดคาดล่ะสิ” ฉันยิ้มตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “ตอนอยู่มัธยมฉันเป็นนักกีฬาของโรงเรียนเลยนะ โดยเฉพาะบาสน่ะนะ”
บรรยากาศรอบตัวผ่อนคลายลง คงเป็นเพราะฉันกับแสงเหนือพูดคุยกันได้อย่างสบายใจแล้วละมั้ง ก็เราเป็นเพื่อนร่วมเอกกันนี่ แถมเขาก็ดูเป็นคนง่าย ๆ ไม่น่ารำคาญเหมือนผู้ชายทั่ว ๆ ไปด้วย เราคุยกันสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย โดยหัวข้อหลัก ๆ ก็เรื่องเจ้าชานมและเรื่องโรงเรียนสมัยมัธยมของพวกเรา จนเวลาล่วงเลยไปช่วงเย็นมาก
“ว่าแต่วันนี้ไม่ต้องไปทำงานเหรอ”
“อื้อ วันหยุดน่ะ ฉันทำอาทิตย์ละสี่วันไง แต่เดี๋ยวต้องกลับแล้วล่ะ” ฉันลุกขึ้นยืนแล้วอุ้มเจ้าชานมกลับไปปล่อยไว้ในบ้านหลังน้อยของมัน มันส่งเสียงร้องออดอ้อนเหมือนไม่อยากให้ฉันกลับ ขี้อ้อนจังนะแก
“จริงสิ เธอเลือกชมรมหรือยัง อาจารย์กำหนดให้เข้าชมรมภายในสิ้นเดือนนี้แล้วนี่”
อ่า… นั่นสิ ฉันลืมเรื่องนี้ไปเลยแฮะ
“ยังเลยอ่ะ ยังไม่มีอะไรในหัวเลยตอนนี้” พูดแล้วก็น่าอาย ทำไมฉันถึงลืมเรื่องนี้ไปได้ละเนี่ย แสงเหนือลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากซอกตึกนั่นพร้อมกับฉัน เราเดินผ่านสนามบาสมาด้วยกัน ฉันเหลือบมองไปทางนั้นเล็กน้อยและพบว่าพวกโลกิยังคงเล่นบาสกันอยู่ในสนาม ยังไม่กลับกันอีกแฮะ…
“เธอสนใจชมรมแบบไหนล่ะ ฉันช่วยเลือกได้นะ”
“อ่ะ…” ฉันเงยหน้ามองร่างสูงด้านข้างพลางขมวดคิ้วคิดตาม “อืม… สนใจแบบไหนงั้นเหรอ… ก็คงเป็นชมรมที่มีอิสระ ได้เปิดหูเปิดตาบ้างก็ดี หรือทำประโยชน์ให้กับคนอื่นได้อะไรแบบนี้มั้ง”
“ถ้างั้น… ชมรมจิตอาสาไหม ฉันก็สนใจชมรมนี้อยู่เหมือนกัน” แสงเหนือเสนอด้วยสีหน้าสนอกสนใจ เพิ่งรู้ว่าเขาเองก็ยังไม่ได้เลือกชมรมเหมือนกัน “ได้ออกค่ายตามต่างจังหวัด บางครั้งก็ได้ปลูกป่า ถือว่าเป็นการเที่ยวแบบมีประโยชน์ต่อคนอื่นด้วย”
อ่า… ชมรมจิตอาสางั้นเหรอ… น่าสนใจแฮะ ถ้าได้ไปออกค่ายอาสาด้วยก็ดีเลย เพราะตั้งแต่เล็กจนโตฉันแทบไม่ได้ไปไหนไกล ๆ เลย หมายถึงไปโดยไม่มีคนในครอบครัวติดตามไปด้วยอะนะ ตอนนี้ฉันเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ถ้าได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระก็คงจะดีไม่น้อย
“อื้ม เอาสิ เดี๋ยวฉันชวนยัยเฟรย์ให้ไปสมัครพรุ่งนี้เลยแล้วกันนะ”
“งั้นพรุ่งนี้ฉันไปด้วยได้ไหม เลิกคลาสแล้วไปด้วยกันนะ”
ไม่รู้ฉันคิดไปเองหรือเปล่าว่าวันนี้แสงเหนือดูกระตือรือร้นแปลก ๆ กว่าทุกวัน ถึงเราจะไม่ได้สนิทกันมาก แต่ก็ถือว่าสนิทกันในระดับหนึ่งแล้วละนะ นี่อาจจะเป็นนิสัยอีกด้านหนึ่งของเขาก็เป็นได้
“แล้วนี่เธอกลับยังไง ให้ฉันไปส่งนะ” เขาถามเมื่อพวกเราเดินมาถึงหน้าคณะ ปกติแล้วฉันมักจะกลับพร้อมพี่ฌอน แต่หลังจากเริ่มทำงานพิเศษฉันก็หนีกลับเองคนเดียวตลอด วันนี้ก็เช่นกัน ถึงไม่ได้ไปทำงาน ฉันก็จะกลับเอง
“ไม่เป็นไร ฉันกลับรถไฟฟ้าน่ะ”
“งั้นให้ฉันไปส่งเหอะ ไม่ต้องเกรงใจหรอก”
“ไม่ต้องหรอก บ้านฉันอยู่ไม่ไกล” ฉันยังคงปฏิเสธความหวังดีของแสงเหนือ และดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ยอมง่าย ๆ ซะด้วยสิ
“เอาน่า เราเป็นเพื่อนกันนะเฌอ อีกหน่อยก็ต้องเป็นเพื่อนร่วมชมรม อย่าเกรงใจเพราะเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ สิ” พอเขายกเหตุผลของคำว่าเพื่อนขึ้นมา ฉันจึงไม่อยากจะขัดน้ำใจเขา
“โอเค ๆ ฉันยอมแล้ว นายเนี่ยนะ บทจะตื๊อก็ตื๊อจริง ๆ แฮะ”
“หึ ของมันแน่อยู่แล้ว งั้นเชิญทางนี้เลยครับคุณผู้หญิง” แสงเหนือยิ้มรับพลางผายมือไปทางลานจอดรถ ฉันเดินตามโดยไม่ลืมหันมองไปทางสนามบาสเพื่อมองหาพี่ชายตัวเองอีกรอบ ทว่ากลับบังเอิญสบสายตากับใครอีกคนที่กำลังมองมาทางนี้พอดี
อะไรกัน… สายตาแสนขวางนั่นมันคืออะไร?
หรือรุ่นพี่ยังไม่พอใจที่ฉันแย่งบาสไปจากมือเขาอยู่นะ…