“กลับก่อนนะเจ้!”
“โอเคๆ อย่าขับซิ่งกันนักล่ะ”
อาทิตย์เดียวทั้งหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ก็ติดแคชเชียร์สาวกันระนาว
เด็กปีสี่คณะมัณฑนศิลป์คอยตรวจตราเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดไม่ให้อยู่ในร้านเกินสี่ทุ่ม
แม้ตัวเองจะอยู่ในสถานที่ ที่มีแต่การละเล่นเสี่ยงดวง แต่เธอก็จะคอยเตือนเด็กๆ เท่าที่ทำได้
จิตสำนึกมันต้องมาจากครอบครัวเป็นคนปลูกฝัง
พนักงานรับจ้างทำงานไปวันๆ อย่างเธอมีหน้าที่ดูแลธุรกิจตู้เกมระหว่างรอแฟนใช้หนี้ครบก็เท่านั้น หาใช่ญาติพี่น้องของเยาวชนในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ วัยคึกคะนองพวกนี้
เงินทองกว่าพ่อแม่จะหามาได้ต้องแลกกับอะไรมาบ้าง แต่เด็กๆ เอามาหยอดตู้แข่งม้าวัดดวง ถ้าได้ก็เอาไปกินไปเล่น
พวกผู้ใหญ่วัยทำงานก็ไม่ได้ต่างกัน เป็นหนี้บัตรหนี้ธนาคารเพื่อไอ้การพนันโง่ๆ
“เห้อ...” เหนื่อยใจที่ต้องอยู่ในแห่งอโคจรเช่นนี้
“งานหนักเหรอ”
“ป เปล่า...”
“แล้วเป็นไร”
“ง ง่วงเฉยๆ”
“เหรอ” กลับมาอีกครั้งไอ้อาการติดอ่าง
ดูเหมือนขิมจะเป็นโรคลักปิดลักเปิดทางการสื่อสารกับโซ่
“เด็กถาปัตย์เขานอนตั้งแต่หัวค่ำกันเหรอ” โซ่เคยได้ยินว่าคณะนี้เป็นคณะหินที่นักศึกษาทั้งเรียนหนัก งานก็เยอะไม่แพ้คณะนิติของเขาเลย อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ
เรื่องกฎหมายก็แค่เน้นที่ท่องจำทำความเข้าใจ แต่คณะของพวกเด็กศิลป์ทั้งหลายต้องทำโปรเจคกันตลอด
“ถ้า ม ไม่ มีงานค้าง ก ก็นอน ร เร็ว อยู่นะ”
“ถ้าไม่ไหวก็บอกนะ”
“อ อื้อ...”
“ทำข้าวให้กินหน่อยดิ...หิว”
“น ในตู้เย็น ไม่มีของสด”
“เหรอ...”
ไม่ทันสังเกตว่าตัวเองก็ติดรสมือของแคชเชียร์ขิมตั้งแต่ตอนไหน
อาจเป็นเพราะช่วงได้กินบ่อยก็เลยเคยชินไปแล้ว
“แต่มี ม มาม่า”
“โซเดียมมันเยอะ”
“อ้อ...”
ดวงตากลมโตมองต่ำลงมาที่เอว สมองไม่รักดีนึกถึงแต่ภาพโพรไฟล์แอพไลน์ที่โซ่ตั้ง
ดูแลสุขภาพ ออกกำลังเลือกกินแต่ของดีๆ หุ่นถึงได้แน่นนี้เองสินะ...อึ๊ก!
“หิวเหมือนกันเหรอ”
...
“เห็นกลืนน้ำลาย”
“ป เปล่า มะช่าย!!”
“หน้าแดงทำไมอะ ร้อนเหรอ”
“คงงั้น” ขิมยกสองมืออังแก้มที่เห่อร้อน
ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่ามันคงแดงแจ๋ ไม่งั้นโซ่คงไม่ทัก
“งั้นปิดร้านแล้วไปกินข้าวต้มรอบดึกกันป้ะ”
“ม ไม่เป็นไร...”
“ไม่กินมื้อดึกใช่มั้ย งั้นตอนนี้ไม่มีลูกค้า ปิดร้านเลยแล้วกัน” โซ่ทึกทักเอาเองแล้วก็ปิดโซนตู้เกมอย่างคล่องแคล่วว่องไว
จะเป็นเจ้านายคนได้ก็ต้องทำงานเป็น โซ่ปิดตู้เกม ปิดระบบแคชเชียร์เสร็จก็ถือวิสาสะจูงมือขิมออกมาลานจอดรถ
กดรีโมทแล้วเปิดประตูส่งให้ถึงเบาะโดยสาร
“กินข้าวต้มข้างทางได้ใช่มั้ย”
“ด ได้...” ชายหนุ่มยืนเท้าประตูฝั่งคนนั่ง
กลิ่นเพอร์ฟูมแบบผู้ชายๆ ลอยแตะจมูกพาลหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้ว
“ร้อนเหรอ”
“นิดหน่อย” เขาเห็นขิมโบกมือพัดลมใส่หน้าก็รีบกลับมานั่งประจำตำแหน่งขับ
สตาร์ทเครื่องยนต์แล้วเร่งแอร์เต็มที ไม่เคยเสียเวลาเอาใจใครเท่านี้มาก่อน
อาจเป็นเพราะไอ้ซิมมันฝากฝังให้ช่วยดูแล เพื่อนที่ดีก็ต้องทำตามนั้น
“มีร้านแนะนำป้ะ”
“ขิมกินอะไรก็ได้”
“เค”
รถซีดานสีดำขลับเทียบจอดริมฟุตบาท
โซ่เองก็ไม่ถนัดร้านข้าวต้มข้างทางนัก เคยกินกับแก๊งเพื่อนบ้างแต่มันก็ผ่านไปแล้วหลายปีอยู่
“สั่งเลยนะ”
“โซ่จะกินอะไร”
“ได้หมด”
“แล้ว...จะกินอะไรล่ะ” เหมือนคนแปลกหน้าสองคนนั่งร่วมโต๊ะอาหารกัน
อีกคนก็ประหม่าจนพูดติดๆ ขัดๆ ส่วนอีกคนก็ไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงให้ดูเป็นธรรมชาติดี
“เบียร์สองขวดครับ”
“ไม่ใช่”
“สั่งเลย”
“งั้น...” จากนั้นเมนูบังคับสองสามอย่างก็ถูกจัดวางบนโต๊ะ
ผัดผักบุ้งไฟแดงลอยฟ้าที่ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่าจะโยนออกจากกระทะเพื่ออะไร ยำปลาสลิดรสชาติทั้งเผ็ดทั้งฉุนที่ใส่หอมแขก และผัดหอยลาย แค่สีพริกแกงแดงจัดจ้านก็น่าจะแสบปากกับต้มตีนไก่เปรี้ยวขึ้นตาแต่แซ่บแบบตะโกน
“กินดิ”
“เผ็ด”
“เผ็ดก็กินดิ” โซ่ดันแก้วทรงสูงบรรจุน้ำสีชาเข้มให้อีกคน
ฟองเบียร์เนียนนุ่มเย็นจนเป็นวุ้นนั้นแก้เผ็ดให้หายขาดในทันใด
“ดีขึ้นป้ะ”
“อืม...โอเคเลย” ขิมคนเดิมกลับมาเมาแอลกอฮอล์เข้าสู่กระแสเลือด
ท่าทางสบายๆ พูดจาลื่นไหลแบบนี้แหละที่เขาชอบ
เมื่อขิมดูไม่อึดอัด เขาเองก็ไม่รู้สึกอึดอัดไปด้วย
“พรุ่งนี้มีเรียนเปล่า”
“ไม่มี แต่นัดซิมไว้ เจอกันที่มอ”
...
คนฟังเงียบไปช่วยครู่ก่อนจะเอ่ยถามต่อ “ให้ไปส่งมั้ย”
“โซ่ไม่มีเรียนเหรอ”
“อืม”
“จริงๆ นั่งรถโซ่ก็สบายดีนะ แต่ไม่เป็นไร เรานั่งรถเมล์ได้”
“จะนั่งไปเองทำไม”
“เกรงใจ”
“เออน่ะ เดี๋ยวไปส่ง โอเค๊?”
“โอเช...”
^^
เหมือนได้กินเหล้ากับเพื่อนใหม่อีกคน
ขิมเป็นผู้หญิงแปลกที่โซ่ไม่เคยเจอในชีวิต เธอเป็นธรรมชาติ ไม่เสแสร้ง ไม่ปรุงแต่ง
เธอเป็นคนดีแบบดีในเนื้อแท้ ไม่แกล้งบิดเบือนข้อด้อยของตัวเองเพื่อให้คนอื่นเข้าหา
“อะไร...”
“กลับบ้านนอนกันเถอะ”
“ฮะ”
“ไปๆ กลับไปนอนกัน”