ชายหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาพลางอมยิ้มกับตัวเอง ทำเอาสองหนุ่มเพื่อนสนิทต่างมองด้วยความสงสัย แล้วก็เป็นธรรมดาที่ต้องเอ่ยถาม
“ไปไหนมาวะพีท มาถึงก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียวนะ”
ชยกฤต หรือ พีท เอียงคอนิดๆ ตอนถูกถาม สีหน้าดูเปี่ยมสุขราวกับไปพบเจอสิ่งถูกใจเข้าให้
“หรือว่ากำจัดคู่แข่งทางธุรกิจไปได้อีกราย” ปรัชญาพูดขึ้น
“ฉันก็ว่างั้นแหละ” นิลาศหนึ่งในกลุ่มเพื่อนซี้กล่าวทับ
“ก่อนหน้าที่พวกแกจะมาถึง มีเด็กเสิร์ฟคนหนึ่งล้มทับฉัน” แววตาเจ้าเล่ห์วาววับ
“งั้นเหรอ… ล้มจริงหรือว่าแกล้งอ่อย?”
นิลาศว่า เสน่ห์ของชยกฤตเป็นที่เลื่องลือ มีสตรีมากมายอยากอยู่ในสถานะผู้หญิงของเขา แต่น่าแปลก ชยกฤตไม่เคยแลใคร แม้ว่าพวกหล่อนจะเป็นถึงนางฟ้าจากหลากหลายวงการก็ตาม
“ล้มจริง”
“แล้วไง ชอบ?” นิลาศหลุดขำ ถ้าคนตรงหน้าบอกว่าชอบขึ้นมาจริงๆ คงพิศวงพิลึก
“แล้วชอบไม่ได้เหรอ?” ถามหน้าตาย เล่นเอาเพื่อนซี้ต่างนั่งตัวตรง มองตาเจ้าเล่ห์เพื่อเค้นคำตอบ
“ขอความจริง!” นิลาศและปรัชญาประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน
ชยกฤตไหวไหล่ไม่ตอบ หยิบบุหรี่ยี่ห้อดังขึ้นจุดสูบ ไขว่ห้างพ่นควันขาวขุ่นลอยเหนืออากาศ ใบหน้าหวานลอยเด่นท่ามกลางกลุ่มควันคละคลุ้ง ก่อเกิดเป็นความอิ่มเอมใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หรือมันถึงเวลาแล้วที่เขาควรจะมีความรัก…
ร่างบางนั่งเหม่อลอยเขี่ยข้าวในจานไปมา เสียงทีวีที่แม่เปิดดูข่าวสารยามค่ำคืนไม่ได้กระทบโสตประสาทเลยสักนิด ความรู้สึกตอนนี้กำลังจมดิ่งไปกับท่าทางและวาจาของเขาคนนั้น
“สวยหรือ?” วราลีขมวดคิ้ว “ชมเราเนี่ยนะ”
หรือจะแกล้งชมแล้วค่อยเชือดอย่างเลือดเย็น ไม่หรอกมั้ง… จากที่คาดเดาท่าทีของเขาก็พอคิดในแง่ดีได้อยู่บ้าง ไม่ได้กริ้วโกรธเกินงาม น้ำเสียงที่เปล่งออกมาสุขุมนุ่มลึก สายตาที่มองก็… โอเค อาจจะติดโหดไปบ้างแต่ก็ไม่ได้แข็งกระด้างเหมือนตอนที่เธอล้มทับเขา
‘แล้วเจอกันนะ’
“หมายความว่ายังไง?” เสียงหวานพึมพำ ทว่าเพ็ญศรีกลับคิดว่าลูกสาวคุยกับตน
“อีกสองวันหนูต้องเตรียมร่มเวลาออกไปทำงานด้วยนะลูก พยากรณ์อากาศบอกมาแบบนี้” มารดาโพล่งขึ้น วราลีหลุดขำ
“เอ้า! ลูกคนนี้ แม่บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าเวลาทานข้าวอย่าหัวเราะแบบนั้น เดี๋ยวก็ติดคอกันพอดี” เพ็ญศรีตีแขนบุตรสาว
“ก็หนูขำแม่นี่ หนูไม่ได้พูดถึงข่าวสักหน่อย แค่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ค่ะ” วราลีแจง
“ไม่รู้นิ เห็นถามว่าหมายความว่ายังไง แม่ก็คิดว่าลีไม่เข้าใจเนื้อหาของข่าว แต่ก็ช่างเถอะ อีกสองวันจะมีฝนฟ้าคะนอง ยังไงก็ดูแลสุขภาพด้วยนะลูก แม่เป็นห่วง” เพ็ญศรีลูบศีรษะทุย มีลูกสาวกับเขาอยู่คนเดียวก็ย่อมรักและห่วงใยเป็นของธรรมดา
“จ้า” วราลีขานรับเสียงหวาน
วราลีเล่าเรื่องผู้ชายหน้าดุคนนั้นให้เพื่อนรักอย่างมินตราฟัง สองสาวนัดเจอกันหลังเลิกงาน มินตราทำงานที่โรงแรมของมารดา ซึ่งมินตราก็คะยั้นคะยอให้วราลีไปทำงานกับตนแต่อีกฝ่ายไม่ยอม เธอไม่อยากตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน แค่นี้ใครๆ ก็หาว่าเธอเกาะมินตราเพื่อหวังผลประโยชน์
“ฉันว่าเขาต้องชอบแกแน่ๆ” มินตราสันนิษฐาน
“อะๆ แก้มแดงทำไมยะ”
“ฉันเนี่ยนะแก้มแดง” วราลียกมือกุมแก้มตัวเอง
“ก็ใช่น่ะสิ แถมยังยิ้มหวานซะ” มินตราเบ้ปาก
“ฉันยิ้มด้วยเหรอ”
ให้ตายสิ…! นี่เธอเป็นอะไรเนี่ย ไม่เห็นรู้ตัวเลย
“เขาคงไม่ได้ชอบฉันหรอก เด็กกะโปโลอย่างฉันใครจะมาสนใจ” พอสมองเรียบเรียงคำพูดของมินตราก่อนหน้านั้นสำเร็จ วราลีก็รีบปฏิเสธทันที
“มันก็ไม่แน่นะเว้ย ถ้าไม่ชอบแล้วเขาจะชมว่าแกสวยทำไมล่ะ” มินตราทำหน้าจริงจัง
“ก็คงชมไปเรื่อยล่ะมั้ง หรือไม่ก็สงสารที่เห็นฉันกลัวเขา”
“อย่ามายัยลี ฉันรู้นะว่าแกก็คิดเหมือนกันใช่ไหม” มินตราชี้หน้า
“คิดอะไร” วราลีเชิดคอถาม
“ก็คิดว่าผู้ชายคนนั้นเขาชอบแกไง” มินตราจิ้มแก้มแดงๆ ของวราลี นานทีจะเห็นเพื่อนซี้เขินจนตัวม้วน
“หรือว่า…”
จู่ๆ มินตราก็ตบโต๊ะเสียงดังจนคนในร้านพากันส่งสายตามอง
“แกจะทำเสียงดังทำไมเนี่ย” วราลีจุ๊ปากอย่างอายๆ ก่อนรีบถาม “หรือว่าอะไร”
มินตรายื่นใบหน้าสวยคมไปตรงกลางโต๊ะ แล้วกวักมือเรียกให้วราลียื่นหูเข้ามาใกล้ๆ
“ผู้ชายคนนั้นอาจเป็นคนที่ดวงสมพงษ์กับแก”
มินตราปรับน้ำเสียงให้เบาบางลงกว่าตอนแรก ดวงตากลมโตเบิกกว้าง จริงด้วยสิ ทำไมถึงลืมคิดเรื่องนี้ไปเสียสนิท
“ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าคิดเหมือนฉันใช่ไหม”
แม้ไม่ได้เชื่อคำทำนายเต็มร้อย แต่การพูดเช่นนี้แล้วทำให้เพื่อนสบายใจขึ้น เธอก็พร้อมอวย พร้อมดันเต็มที่ และจากที่ฟังวราลีเล่า ผู้ชายคนนั้นดูดีทุกกระเบียดนิ้ว ถ้าเขาชอบวราลีขึ้นมาจริงๆ มันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่ใช่หรือ
“จะใช่เหรอ” วราลียังไม่กล้าฟันธง มินตราตบเข่าดังฉาด
“ฉันว่าคนนี้แหละ ชัวร์! ต้องคนนี้แน่ๆ” ท่าทางของมินตราดูจริงจังจนวราลียังแอบงง
“เดี๋ยวนะมิน แกเชื่อเรื่องที่ป้าคนนั้นพูดแล้วเหรอ”
“ไม่เชื่อ แต่แค่รู้สึกว่ามันน่าจะเป็นไปได้ก็เท่านั้น”
วราลีพยักหน้าคิดตาม ก็จริงแฮะ เขามาในเวลาที่เหมาะเจาะ เพียงแต่เธอไม่ทันคิดหรือฉุกใจใดๆ ถ้ามินตราไม่พูดเรื่องดวงขึ้นมา เธอก็คงลืมไปแล้วว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย
นี่เธอปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นเข้ามามีอิทธิพลต่อความรู้สึกได้มากถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“เรื่องที่ให้สืบว่ายังไงบ้าง”
ชยกฤตรีบถามไมเคิลเลขาฯ ส่วนตัวทันทีหลังกลับจากที่ประชุม สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้ ทำเอาเลขาฯ หนุ่มถึงกับสงสัยว่าผู้หญิงคนนั้นร่ายมนต์สะกดใดใส่เจ้านายของตน ปกติชยกฤตไม่ใช่พวกชอบวิ่งตามใคร ขนาดมีผีเสื้อแสนสวยบินโฉบลงมาให้เลือกเรียงตัวเขายังเมินเฉย ไม่ชอบก็คือไม่ยุ่ง ทำเอาสาวๆ เกือบครึ่งค่อนประเทศอกหักไปตามๆ กัน
“เป็นแค่นักศึกษาจบใหม่ธรรมดาครับคุณพีท ไม่ได้โดดเด่นอะไร”
ไมเคิลรายงาน เขายื่นประวัติของวราลีให้เจ้านายหนุ่มดู ชยกฤตอ่านประวัติของเจ้าหล่อนคร่าวๆ คิ้วหนาเข้มขมวดปม จนกระทั่งสายตาเลื่อนมาสะดุดกับสถานะภาพ
“โสด?”
“ครับ ไม่เคยมีแฟนมาก่อน ผู้ชายมาจีบกี่คนๆ เจ้าหล่อนก็ปฏิเสธทุกคนไป” ไมเคิลรายงานละเอียดยิบ และคำพูดของเขาก็เรียกรอยยิ้มสุขใจให้บังเกิดบนใบหน้าคมคาย
“คุณพีทสนใจเธอหรือครับ” เขาตัดสินใจถามออกไป
“ก็น่ารักดี”
ชยกฤตไหวไหล่ กลิ่นกายหอมละมุนยามล้มทับตัวเขายังติดอยู่ที่ปลายจมูก ร่างบางสั่นสะท้านประหนึ่งกวางน้อยผู้หวาดกลัวเสือร้าย เขาชอบสายตาหวั่นเกรงที่เจ้าหล่อนช้อนมอง มันชวนน่าขย้ำ น่าจับแม่คนตัวเล็กมาผูกมัดกับเตียงเพื่อกักขังให้อยู่ภายใต้อาณัติของเขาตลอดไป!
“นายคิดว่ายังไง ถ้าฉันจะจีบผู้หญิงคนนี้”