“แล้วให้ฉันมองผู้หญิงคนนั้นทำไมไม่ทราบ จะพูดอะไรก็พูดมาสิ อยากรู้แล้วเนี่ย” ต่อมอยากรู้อยากเห็นเริ่มทำงาน
“ก็ฉันเห็นผู้หญิงคนนั้นเขามองแก มองตลอดเลย ตั้งแต่เดินเข้าร้านมาแล้ว” คราแรกก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอเริ่มนั่งเท่านั้นแหละ ป้าคนนั้นก็จ้องวราลีทุกอิริยาบถ ทำราวกับมีเรื่องขุ่นข้องใจ หนำซ้ำยังส่งสายตาจริงจังจนมินตราขนลุกขนพอง
“จริงเหรอ?”
“เออดิ มองแบบอาฆาตอ่ะ” พูดแล้วก็ลูบแขนสะดุ้งโหยง
“บ้าเอ๊ย! โรคจิตปะวะ” วราลีเริ่มระแวง “กินๆ จะได้รีบกลับ”
“ยังจะมีอารมณ์กินต่อนะยะ ไม่ต้องกินแล้ว ขืนนั่งต่อก็ถูกจ้องไม่เลิก แกไม่กลัวหรือไง” มินตราเตรียมหยิบกระเป๋าเงินออกมา เธอรีบหยิบใบเสร็จเดินไปจ่ายค่าอาหารที่เคาน์เตอร์ วราลีคว้ากระเป๋าสะพายไหล่ลวกๆ กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเพื่อนออกไปจากร้าน
“มองน่ากลัวมากอ่ะ โห! พูดแล้วขนลุก”
มินตรายังผวาไม่เลิก ขนาดเธอและวราลีออกมาไกลแล้วนะ ยังรู้สึกเหมือนมีสายตาของป้าคนนั้นตามจ้องอยู่ไม่ห่าง
“ดีแล้วที่ฉันไม่เห็นตั้งแต่แรก ไม่งั้นคืนนี้หลอนแน่” วราลีเกาะแขนเพื่อนเป็นปลิง ขนาดเห็นแค่ผิวเผินยังกลัวจนอกสั่นขวัญแขวน ตายๆ แล้วคืนนี้จะนอนหลับไหมเนี่ย ยิ่งเป็นพวกขี้ระแวงอยู่ด้วย
“ฉันว่านะ…”
หมับ!
“กรี๊ด!!!” วราลีกรีดร้องเมื่อแขนข้างขวาถูกใครดึงไว้อย่างแรง พอหันกลับไปมองก็พบใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอางค์จัดจ้านของป้าคนเดิม
“ปล่อยเพื่อนฉันเดี๋ยวนี้นะป้า ปล่อยนะ!”
มินตราใช้กระเป๋าชาแนลรุ่นล่าสุดทุบตีตามร่างกายหญิงกลางคน หวังให้อีกฝ่ายปล่อยแขนเพื่อนสาว
“ป้าปล่อยหนูเถอะค่ะ หนูกลัวแล้ว หนูกลัวแล้ว”
วราลีแหกปากร้องเสียงดัง ซวยซ้ำซวยซ้อนเหลือเกิน ตอนนี้เธอกับเพื่อนอยู่ที่โรงจอดรถ คนน้อยแถมอยู่ในมุมมืดอีกต่างหาก
“ถ้าไม่ปล่อยฉันแจ้งตำรวจลากคอป้าเข้าคุกแน่!” มินตราขู่ฟ่อ
“ใจเย็นๆ แม่หนู” เสียงแหบแห้งร้องบอก “ป้าไม่ใช่โรคจิต ไม่ใช่โจร ไม่ใช่คนไม่ดี ป้าแค่มีเรื่องอยากคุยกับเพื่อนของแม่หนูเท่านั้น”
มินตราหยุดตีแล้วฟังเหตุผลของคนตรงหน้า
“ปะ ป้ามีอะไรจะคุยกับหนูหรือคะ?” น้ำเสียงสั่นๆ ถามออกไป เลื่อนสายตามองที่มือเหี่ยวย่นพลันแอบหวั่น
“ป้าปล่อยแขนหนูก่อนนะคะ หนูกลัว”
เธอไม่ไว้ใจ เกิดเป็นคนไม่ดีจะได้รีบวิ่งหนีขึ้นรถไปเลย และทันทีที่หญิงกลางคนปล่อยมือออกจากแขนเรียวนั้น ทั้งสองสาวก็รีบวิ่งหนี เป้าหมายคือรถปอร์เช่คู่ใจของมินตราที่จอดห่างอยู่ไม่ไกลนัก
“เธอกำลังมีเคราะห์วราลี อาจถึงแก่ชีวิตได้!”
วราลีชะงักงัน สองเท้าเล็กหยุดการเคลื่อนไหวกะทันหัน
“ลีหยุดทำไม รีบไปเร็ว” มินตราหันกลับมาลากแขนเพื่อน
“เดี๋ยวก่อนมิน” วราลีขืนตัวเอาไว้ “เมื่อกี้ป้าเขาเรียกชื่อฉัน”
“ป้าเขาจะรู้จักชื่อแกได้ยังไง” มินตราขมวดคิ้ว “หรือว่าเป็นโรคจิตที่แอบตามแกมานานแล้ว!” คนพูดตาโต กลัวหนักกว่าเดิม
“ไม่น่าใช่… เขาบอกว่าฉันกำลังจะมีเคราะห์” วราลีส่ายหน้า หันหลังไปมองร่างท้วมของหญิงกลางคนอีกครั้ง
“แกจะไปสนใจทำไม คำพูดของคนแบบนั้น”
“แต่เขาบอกว่าฉันอาจถึงตายได้เลยนะเว้ย หรือว่าเขาจะเป็นหมอดู?” คนบ้าดวงเข้าเส้นเลือดเริ่มคิด มินตรายกมือทุบหน้าผากตัวเองหนึ่งที
“ลี… แกหยุดงมงายก่อนได้ไหม เอ้า! แล้วนั่นจะไปไหน ลี!”
มินตราร้องเรียก วราลีเดินไปหาผู้หญิงแปลกหน้าคนเดิม มินตรากระทืบเท้าหงุดหงิดก่อนรีบเดินตามไป
“ลี… ไปเหอะ”
“เมื่อกี้ป้าพูดว่าอะไรนะคะ ใครจะตาย หนูหรือคะ?” วราลีชี้ตัวเอง
“ใช่” หญิงแปลกหน้าตอบเสียงหนักแน่น
“ถ้าเธอไม่ฟังป้า เธอตายแน่” น้ำเสียงแหบแห้งชวนขนลุก มินตราสะกิดแขนเพื่อนแล้วทำหน้าเว้าวอน
“ขอร้องล่ะลี ไปขึ้นรถเถอะ ฉันว่าไม่น่าไว้ใจเลยนะเว้ย”
“หนูมินตรา… สอบเสร็จแล้วทำไมไม่รีบโทร. รายงานคุณแม่ล่ะจ๊ะ ท่านกำลังรอฟังผลอยู่นะ ลูกสาวคนเก่งของท่านทำข้อสอบได้หรือเปล่า?” มินตราอ้าปากค้างไม่อยากเชื่อ
“ปะ ป้ารู้ได้ยังไงคะ?” บุคลิกของมารดา เธอไม่เคยให้ใครรู้นอกจากวราลีเพื่อนสนิท
“ป้ารู้ทุกสิ่งที่อยากรู้” ริมฝีปากกระตุกยิ้ม มินตราเริ่มคิดเหมือนวราลี หรือว่าเธอคนนี้จะเป็นหมอดู
“ป้าอยากดูดวงให้หนู หนูชอบดูดวงไม่ใช่หรือจ๊ะ” หญิงกลางคนหันมองวราลี เอ่ยถามอย่างรู้ทัน
“เห็นไหมๆ เป็นหมอดูจริงๆ ด้วย” วราลีตื่นเต้น มินตราจากที่ไม่เชื่อแต่พอถูกทักเรื่องมารดาเข้าหน่อยก็เริ่มมีคล้อยตามบ้างแล้ว
“ป้าดูเลยค่ะ ว่าแต่ป้าจะดูแบบไหนคะ ลายมือหรือว่าไพ่?”
ใครจะคิดว่าสาวหัวสมัยใหม่เช่นเธอจะมีความเชื่อเรื่องดวงเรื่องคาถา วราลีดูดวงมาแล้วทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะตัวต่อตัว โทรศัพท์เพื่อเปิดไพ่ พูดคุยผ่านทางออนไลน์ หรือแม้กระทั่งไปยังสำนักพ่อหมอแม่หมอตามสถานที่ต่างๆ ที่ขึ้นชื่อเรื่องความแม่นความขลัง
“ป้าดูผ่านแววตาจ้ะ”
“แววตาหรือคะ?”
วราลีขมวดคิ้ว แปลกแฮะ… ดูดวงแบบนี้เธอไม่เคยได้ยิน แต่ก็เอาเถอะ ขึ้นชื่อว่าดวงเธอชอบทั้งนั้น
“ดวงของหนูกำลังจะมีเคราะห์หนัก” น้ำเสียงเข้มข้น วราลีหวาดกลัว ใบหน้าหวานซีดเผือด “ถ้าไม่รีบมีแฟนอาจถึงตายได้”
“เดี๋ยวนะป้า” มินตราแทรกขึ้นอย่างเสียมารยาท “มั่วปะเนี่ยถามจริง คนเรามันจะตายเพราะแค่ไม่มีแฟนเนี่ยนะ?”
นั่นน่ะสิ… หรือว่าจะเป็นหมอดูเน้นทิศทางการเดาสุ่ม
“ป้าไม่ได้มั่ว แต่ดวงของหนูวราลีกำลังมีเคราะห์จริงๆ ดวงแบบนี้ต้องแก้กรรมด้วยการมีแฟน และผู้ชายคนนั้นจะต้องเป็นคนที่มีบารมีมากพอที่จะยับยั้งดวงที่กำลังอ่อนของหนูด้วย”
“หนูว่าป้าเพ้อเจ้อละ ไปเหอะลี ท่าทาจะเดามากกว่า” มินตราส่ายหน้าไม่เชื่อ คว้าแขนเพื่อนทำทีจะลากกลับไปยังทางเดิม
“แต่เมื่อกี้ป้าเขาพูดเรื่องแม่แกถูกนะมิน” วราลีท้วง แอบหวังให้ป้าคนนี้เป็นหมอดูที่ดูดวงแม่นจริงๆ
“ก็คงเดาส่งไปเรื่อยแหละ บังเอิญมันถูกก็แค่นั้น” มินตราไม่ใส่ใจ
“เดี๋ยวก่อน ขอฉันคุยกับป้าก่อน เผื่อมันอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้นะ”
“แล้วถ้าไม่จริงล่ะ เสียเวลาเปล่าๆ” มินตราหงุดหงิด
“เสียเวลาก็ดีกว่าเสียชีวิตนะยะ เพราะถ้าเกิดมันเป็นเรื่องจริงขึ้นมาฉันตายเลยนะ แกไม่เป็นห่วงฉันเหรอ”
วราลีให้เหตุผล มินตรามีท่าทีอ่อนลง
“ก็ได้” วราลียิ้มกว้าง
“ป้าคะ คือหนูต้องมีแฟนเท่านั้นใช่ไหมคะ ถึงจะยับยั้งดวงที่กำลังมีเคราะห์ได้?” ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ อีกฝ่ายพยักหน้าช้าๆ
“ใช่” ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “แต่ต้องเป็นผู้ชายที่ดวงสมพงษ์กับหนูเท่านั้นนะ” น้ำเสียงแหบแห้งมีข้อแม้ เตือนให้รู้ว่าอย่าคิดดึงใครสุ่มสี่สุ่มห้ามาเคียงกายเด็ดขาด เหมือนตอกฝาโลงให้วราลีต้องคิดหนัก