บทที่ 4.2 - ชายผู้เร่าร้อน (คนที่ดวงสมพงษ์) (จบตอน)

1117 Words
ปริญหลงใหลร่างบางตั้งแต่แรกพบ ผิวขาวเนียนละเอียดน่าสัมผัส ใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา จมูกโด่งรั้นที่ออกเชิดนิดๆ บ่งบอกให้รู้ว่าผู้เป็นเจ้าของหยิ่งยโสพอตัว ปริญจงใจใช้สายตาโลมเลียอีกฝ่ายอย่างโจ่งแจ้ง เขาแกล้งแลบลิ้นเลียริมฝีปากล่างพลางมองเจ้าหล่อนตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แก้มนวลแดงระเรื่อดุจพิษไข้ เธอแสร้งไม่มองเขาและพยายามนิ่งให้มากที่สุด “รายงานการประชุมของเมื่อวานค่ะท่าน” เอื้องฟ้า ถ่ายทอดน้ำเสียงหวานไพเราะจับหัวใจ ทำเอาคนที่แอบปลื้มถึงกับยิ้มไม่หุบ ธนาคิมและภูเบศเอือมระอากับพฤติกรรมคุกคามสาวทางสายตาของเพื่อนรัก “ขอบคุณมาก คุณออกไปได้แล้ว” ความจริงภูเบศมีเรื่องงานที่ต้องการสอบถามเลขาฯ สาวเยอะพอตัว แต่เห็นท่าทางตื่นกลัวก็อดสงสารไม่ได้ คงจะหวั่นเกรงเพื่อนของเขา ท่านประธานหน้าหล่อจึงไม่อยากรั้งเหยื่อโอชะของปริญให้ต้องลำบากใจไปมากกว่านี้ “ค่ะท่าน” เอื้องฟ้าก้มหน้าก้มตารีบเดินออกจากห้อง ปริญทำท่าจะลุกตามร่างงาม “อะแฮ่ม!” ภูเบศกระแอมไอ ธนาคิมยิ้มมุมปาก “ให้มันน้อยๆ หน่อยเพื่อน เอื้องฟ้าเป็นเลขาฯ ของกูนะเว้ย” “แล้วไงวะ?” ปริญย้อนถาม สีหน้ากวนโอ๊ยได้ที่ “มึงไม่ควรแสดงท่าทีแบบนั้นใส่เขา เกิดกลัวความบ้ากามของมึงไม่ไหวแล้วลาออกขึ้นมากูไม่ซวยเหรอวะ” สมัยนี้ยิ่งหาคนทำงานเก่งๆ ยากอยู่ด้วย เอื้องฟ้าเป็นเด็กสาวที่มาจากต่างจังหวัด เธอเรียนเก่งได้ทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ความสามารถบวกกับความรู้ที่เจ้าตัวมี ทำให้ภูเบศไม่รีรอที่จะรับเธอเข้าทำงานในฐานะเลขาฯ ส่วนตัว ซึ่งเอื้องฟ้าก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เธอปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม บุคลิกสวยโดดเด่นเป็นหน้าเป็นตาให้กับเขาและบริษัทฯ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เอื้องฟ้าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ภูเบศได้ลูกค้ารายใหญ่จากการหนีบสาวเจ้าไปดีลงานด้วยทุกครั้ง “ก็ฉันชอบ” คำพูดตรงๆ ตามประสาคนไม่ชอบอ้อมค้อม ชอบคือชอบ เกลียดคือเกลียด จะไปยากตรงไหน “ชอบหรือใคร่เอาให้แน่” ภูเบศถามอย่างรู้ทัน “เหมือนกัน” ปริญตอบ “แสดงว่าใคร่” ธนาคิมสรุปความ ปริญหันไปแยกเขี้ยวใส่เขาอีกครั้ง “เอาเหอะ จะชอบจะใคร่ก็เรื่องของมึง” ภูเบศไม่อยากต่อความ “แต่ขอเตือนไว้อย่าง อย่ายุ่งกับเลขาฯ ของกูเด็ดขาด!” คนเตือนชี้หน้าจริงจัง ที่ห้ามเพราะกลัวว่าปริญจะทำให้เอื้องฟ้าเสียใจ เขาสงสารเธอ ไม่อยากให้เจอผู้ชายร้ายกาจอย่างเพื่อนของเขา ภูเบศรู้จักปริญดีกว่าใคร นิสัยชอบเอาชนะ อยากได้คือต้องได้ ถึงตัวเขาเองจะเป็นแบบนั้น แต่เชื่อเถอะว่าน้อยกว่าปริญหลายเท่า เพื่อนคนนี้ร้ายกาจกว่าที่คิด! “รับฟัง แต่จะทำตามหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของฉัน จบนะ?” ปริญยักคิ้วกวนประสาท! วราลีขึ้นชื่อว่าเป็นบันฑิตจบใหม่อย่างเต็มภาคภูมิ เหลือก็แต่รอรับปริญญาให้แม่ชื่นใจเท่านั้น หญิงสาวในชุดนักศึกษายิ้มแย้มแจ่มใสให้กับรุ่นน้องที่แวะเวียนเข้ามาทักทาย วันนี้เธอมารับเอกสารสำคัญกับทางมหาวิทยาลัย เลยแวะพูดคุยให้คำแนะนำแก่รุ่นน้องที่คณะด้วย “เดี๋ยวพี่กลับก่อนนะ พอดีมีธุระต่อน่ะจ้ะ” วราลีบอกกับรุ่นน้องกลุ่มใหญ่ที่เข้ามาพูดคุยกับเธอ ร่างบางข้ามสะพานลอยไปรอรถประจำทางยังฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัย คิวรถตู้พยายามชักชวนให้เธอใช้บริการพวกเขา แต่ หญิงสาวไม่สน เธอไม่ชอบนั่งรถตู้เนื่องจากเคยพลาดท่าเสียทีใช้บริการแล้วถูกปล่อยทิ้งให้ลงเดินก่อนถึงที่หมาย และคืนนั้นฝนก็ตกกระหน่ำ หนำซ้ำยังต้องหอบหิ้วสัมภาระพะรุงพะรัง ทำให้วราลีเข็ดจนวันตาย อีกทั้งรถตู้มักขับเร็วราวกับถ่ายหนังแรงทะลุนรก ร่างบางยังจำความรู้สึกครั้งนั้นได้ไม่ลืม ต้องหลับตาภาวนาในใจขอให้ถึงที่หมายโดยปลอดภัย แต่ก็ไม่อยากเหมารวมหรอกนะ เพราะคนขับรถตู้ที่ดี สุภาพและรักษากฏระเบียบจราจรก็ยังมีอยู่มากในสังคม แค่เธออาจเป็นคนโชคร้ายที่ไม่ได้เจอคนขับดีๆ ก็เท่านั้น จากตรงที่เธอยืนอยู่จะเห็นวิวทัศน์ของมหาวิทยาลัยได้อย่างชัดเจน ตึกสูงโดดเด่นอันมีตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยช่างเป็นอะไรที่ภาคภูมิใจเหลือเกิน มองกี่ครั้งก็เต็มไปด้วยความทรงจำ สุขทุกข์คละเคล้ากันไป วราลีไม่เคยเสียใจหรือเสียดายเวลา ทุกๆ วันที่ได้ย่างเท้าก้าวเข้าสู่สถาบันศึกษาแห่งนี้ เธอมีความสุขมาก แม้ในบางครั้งต้องเจอกับเรื่องน่าปวดหัวไปบ้าง แต่นั่นก็เป็นธรรมดาของชีวิต ซึ่งเธอเลือกที่จะปล่อยวางแล้วมองแต่ความสุขที่ตัวเองได้รับเท่านั้น ระหว่างยืนรอรถประจำทางความโชคร้ายก็มาเยือน เมื่อจู่ๆ รถยุโรปคันหนึ่งขับเคลื่อนมาอย่างเร็วแล้วนำพาน้ำขังแสนสกปรกบนพื้นถนนสาดกระเด็นใส่กระโปรงพีทจนแทบเปียกชุ่ม หญิงสาวอ้าปากค้างพลางมองตามรถหรูคันนั้น แววตาหงุดหงิดจนสามารถฆ่าคนได้ วราลีหมายจะเดินไปคิดบัญชีกับเจ้าของรถ ทว่าแขนเรียวกลับถูกใครคนหนึ่งดึงรั้งเอาไว้ เมื่อหันกลับไปมองก็ต้องเบิกตากว้าง “แม่หมอ!” หญิงสาวร้องอุทานอย่างประหลาดใจที่เห็นหมอดูที่นี่ “เป็นยังไงบ้าง” รอยยิ้มอบอุ่นส่งตรงถึงเธอ วราลีฉีกยิ้มกว้าง รีบตอบกลับทันทีว่า “หนูสบายดีค่ะ เจอแม่หมอที่นี่ก็ดีแล้ว หนูมีเรื่องอยากปรึกษา” เสียงหวานร้อนรน อีกฝ่ายทราบทันทีว่าเธอต้องการพูดเรื่องอะไร “เรื่องคนที่ดวงสมพงษ์กับหนูใช่ไหม” “ใช่ค่ะ” เหมือนเห็นเค้าลางแสงสว่างรำไร เธอเครียดเรื่องนี้มาหลายวันหลายคืนจวนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว “ตอนนี้หนูเจอผู้ชายคนนั้นแล้วล่ะ” สายตามองผ่านใบหน้าหวานไปยังด้านหลัง วราลีมองตามสายตาคู่นั้นอย่างฉงน ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งยืนพิงประตูรถคันหรู แว่นตากันแดดสีชาเสริมให้ใบหน้าคมคายดูหล่อเหลาดุดัน วราลีขมวดคิ้ว “มะ หมายความว่ายังไงคะ” “ผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่ดวงสมพงษ์กับหนู… วราลี” “อะ อะไรนะคะ!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD