“ให้นางกินยานี้ทุกหนึ่งชั่วยาม”
เขายื่นยาเม็ดที่เหลือให้แม่ทัพใหญ่ ก่อนจะเดินออกจากกระโจม แล้วเดินเข้าไปหานางอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าแม่ทัพใหญ่เดินกลับที่พักแล้ว
“เจ้าออกไปได้” เขาสั่งชิงชิงเสียงเรียบ ในขณะที่ตาจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าแสนสวย
“เพคะ” พอชิงชิงเดินออกไป เขาจึงเดินเข้าไปนั่งบนเตียงข้างนาง มือหนาจับข้อมือบางขึ้นวัดชีพจรเพื่อวัดพลังปราณ
“เป็นไปได้อย่างไรที่นางไม่มีพลังลมปราณเลย” เขาหันไปพูดกับองครักษ์คนสนิททั้งสอง
“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมเห็นกับตาว่านางใช้เพลงกระบี่เหินหงส์ต่อสู้กับเหล่าข้าศึก”
เพ่ยซานยืนยันหนักแน่นในสิ่งที่เห็น เพราะเขาที่ยืนจับตามองอยู่บนกำแพงเมืองนั้นเห็นทุกกระบวนท่าที่นางใช้ ถึงเพลงกระบี่นั้นจะถูกทำลายไปแล้ว แต่ก็บันทึกบางกระบวนท่าไว้ที่หอจดบันทึกของราชวัง และเขาก็เคยเห็นบันทึกนั้นตอนตามชินอ๋องไปที่นั่น
“ข้าเชื่อเจ้า” ถึงจะชื่อเหินหงส์แต่กลับเป็นเพลงกระบี่ต้องห้ามและถูกทำลายไปเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว จึงเหลือไว้เพียงตำนาน เพลงกระบี่เหินหงส์นั้นยากมากที่จะมีใครฝึกสำเร็จ ผู้คนที่เคยฝึกต่างพากันเสียสติหรือล้มตาย แต่หากฝึกสำเร็จอย่างเช่นฮ่องเต้เทียนฉินผู้มีเมตตา ก็จะกลายเป็นคนกระหายเลือดกระหายอำนาจ ไร้จิตใจ จนเป็นเหตุให้แผ่นดินลุกท่วมไปด้วยไฟโลหิตของผู้บริสุทธิ์…
“ขอกระหม่อมตรวจนาง เพื่อไขข้อสงสัยจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ไม่ใช่ไม่เชื่อที่พระองค์บอก แต่อยากจะลองยืนยันให้รู้แจ้งด้วยตัวเองเท่านั้น เพ่ยซานยื่นมือจะไปจับข้อมือนาง แต่ชินอ๋องกลับจับมือของนางหลบหนี
“เจ้าไม่เชื่อข้ารึ” เขาถามเสียงเรียบ ส่งสายตาดุให้องครักษ์คนสนิท ไม่รู้ทำไมถึงไม่อยากให้เพ่ยซานแตะต้องตัวนาง
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ” เพ่ยซานโค้งตัวก่อนจะเดินถอยออกไปยืนข้าง เหวินฉี
“ต่อจากนี้พวกเจ้าห้ามเข้าใกล้นางเกินสามก้าว” สั่งเสร็จชินอ๋องก็เดินนำออกจากกระโจม
สององครักษ์ลอบชำเลืองมองตากัน รู้สึกแปลกใจกับคำสั่งของพระองค์ แต่ก็ทำได้เพียงกดความอยากรู้ไว้ ตั้งแต่พบเจอกับหลินฟางซี พวกเขาก็รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของพระองค์ จากคนที่พูดน้อย ไม่เคยต่อความกับใคร แต่พระองค์กลับต่อล้อต่อเถียงกับหญิงสาวและพูดยาวขึ้น
…..
หลินฟางซีพออาการดีขึ้นก็ออกวิ่งเล่นทันที เกือบสองอาทิตย์ที่ต้องนอนติดเตียงทำเอานางแทบเป็นง่อย โชคดีที่มีชิงชิงอยู่เป็นเพื่อน คอยหานั่นหานี่มาทำสวยให้นางคลายเหงา
“คุณหนูอย่าวิ่งเจ้าค่ะ คุณหนูเพิ่งหายดีนะเจ้าคะ” ชิงชิงวิ่งเหนื่อยหอบตาม
“ข้าไม่เป็นไรแล้ว เร็วๆ ...โฮ้ พี่เหวินฉี พี่เพ่ยซาน”
นางโบกมือให้สองหนุ่มก่อนจะวิ่งเข้าหา สององครักษ์หนุ่มมองหน้ากันตาโตก่อนจะกระโดดออกห่างจากนางคนละทิศทาง
“อะไรของพวกท่าน ไม่ดีใจหรืออย่างไรที่เห็นข้า”
นางว่าหน้าบูดบึ้งน้อยใจ กอดอกเชิดหน้าหนีอย่างนึกงอน พอสายตาสบเข้ากับคนหน้าเหี้ยมที่นั่งอยู่ในกระโจม นางก็ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ นึกหาทางแกล้งให้คนหน้าเหี้ยมหงุดหงิดเล่น
“พี่ชินอ๋อง” นางเรียกเขาเสียงหวาน วิ่งอ้าแขนกว้างเข้าไปกอดรอบคอแกร่งแล้วขึ้นไปนั่งตักเหมือนเด็กๆ โดยไม่รู้เลยว่าไม่ไกลนั้น ผู้เป็นบิดากำลังยืนรอรับคำสั่งจากเขาอยู่
ส่วนคนถูกกอดก็ได้แต่นั่งใจเต้นแรง กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยมาแตะปลายจมูกนั้นช่างหอมละมุน สะโพกงามงอนที่นั่งทับอยู่บนตักนั้นช่างนุ่มเนื้อจนเขาอยากจะลองสัมผัสดู ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่ได้เจอนางอีกเลยเพราะยุ่งอยู่กับการวางแผนฟื้นฟู พอมาเจออีกทีเขากลับรู้สึกว่านางงดงามกว่าเดิมยิ่งนัก แก้มนวลแดงระเรื่อมีน้ำมีนวล ผิวก็ขาวนวลลออกว่าเมื่อก่อน หรือจะเพราะการแต่งกายที่เหมือนสาวชาววังนี่กันนะ….
“หลินเอ๋อร์เจ้า! “
แม่ทัพใหญ่เรียกบุตรสาวเสียงเข้ม ก่อนจะรีบนั่งคุกเข่า โขกศีรษะเพื่อขออภัยที่นางล่วงเกินเบื้องสูง
“ชินอ๋อง ได้โปรดอภัยให้นาง เป็นความผิดของกระหม่อมเองที่ไม่สั่งสอนนางให้รู้จักที่ต่ำที่สูงพ่ะย่ะค่ะ”
คิ้วเรียวเลิกสูงมองบิดาด้วยความตกใจ รีบเด้งตัวออกจากตักไปนั่งลงข้างท่านแม่ทัพผู้เป็นบิดา
“ท่านพ่อ ท่านทำอะไรเจ้าคะ”
“เจ้าช่างบังอาจนัก” มือใหญ่ของพ่อกดหัวนางให้โขกลงบนพื้น
“โอ๊ย! ท่านพ่อข้าเจ็บ”
แผลบนไหล่ก็ยังไม่หายดีเต็มที่ มาตอนนี้กลับถูกโขกหน้าผากลงบนพื้น สมองนางจะไหลออกจากหัวจริงๆ ก็คราวนี้แหละ
“ท่านแม่ทัพหลิน ท่านทำอันใดรึ รีบลุกขึ้นเถิด มาโขกหัวให้ชั้นผู้น้อยเช่นข้า เดี๋ยวข้าก็ถูกฟ้าดินลงโทษหรอก ได้โปรดลุกขึ้น”
เขาตีเนียนเล่นไปตามที่นางคิด
แม่ทัพหลินเงยหน้าขึ้นมองชินอ๋องอย่างไม่เข้าใจว่าพระองค์กำลังคิดจะทำสิ่งใด ทำไมถึงได้ปิดบังตัวตนเช่นนี้
“นั่นสิท่านพ่อ ท่านจะไปโขกหัวให้เขาทำไม ลุกขึ้นๆๆ”
นางพยุงบิดาให้ลุกขึ้น แล้วเดินไปหาคนหน้าเหี้ยม เอาแขนพาดบ่าก่อนจะตบเข้าที่หลังของเขาเหมือนที่ทำกับเพื่อนสนิท
ไม่ใช่ว่าไม่เห็นถึงความแตกต่างระหว่างชนชั้นที่ทุกคนปฏิบัติต่อเขา แต่เรื่องอะไรนางต้องก้มหัวให้เขาด้วย หนี้แค้นที่ผิดสัจจะกับนาง นางไม่มีวันลืม และดูแล้วคงจะเป็นแค่เชื้อพระวงศ์คนหนึ่งเท่านั้นแหละ
“ใช่อย่างที่พี่ชินอ๋องว่า เขาเป็นผู้น้อย แน่นอนว่าต้องเป็นเขาที่ต้องคุกเข่าโขกหัวให้ท่านพ่อที่เป็นผู้ใหญ่...ข้าพูดถูกหรือไม่”
นางยิ้มกว้างจนตาหยี ตบหลังเขาเล่นเบาๆ
ใบหน้าหล่อคมสันเหี้ยมหนักกว่าเดิม ดวงตาต่างสีวาวโรจน์จน แม่ทัพใหญ่ต้องรีบก้มหน้าหลบตา อยากจะดึงบุตรสาวออกห่างแล้วพาวิ่งหนีแต่ก็ทำไม่ได้
“อืม” เขาตอบสั้นๆ รู้สึกเคืองที่ถูกทำเหมือนเป็นเพื่อนเล่น แต่ก็ไม่ได้โกรธเหมือนที่เคย
“เห็นไหมๆ ท่านพ่อสอนข้ามาดี ให้รู้จักที่ต่ำที่สูง อ่อนน้อมถ่อมตนกับผู้ใหญ่ ไม่เคยให้ผู้ใหญ่ต้องมานั่งคุกเข่าโขกหัวให้”
นางยิ้มกว้างตาใสอย่างไร้เดียงสา แต่คนถูกว่ากระทบกลับอยากจะฉีกร่างนางทิ้งให้แหลกคามือ...นี่เขาถูกคนบ้าหลอกด่าใช่หรือไม่!