ตอนที่ 10

904 Words
เจ้ามันนางปีศาจ! จากที่เห็น เมืองอิ่งโตวนั้นเป็นเมืองที่มีภูเขารายล้อม อากาศค่อนข้างเย็นสบายในตอนกลางวัน แต่ตอนกลางคืนนั้นกลับหนาวเย็น พืชผักที่ต้องปลูกจึงเป็นพืชที่ต้องทนอากาศหนาวเย็นได้ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะมีพืชผักมากมายหลายชนิดที่เติบโตได้ดีในสภาพอากาศเช่นนี้ แต่ก็แปลกที่ตลอดทางมาที่นี่กลับไม่มีใครทำการเกษตร ทั้งที่สภาพดินนั้นดีมากแต่กลับปล่อยให้ว่าง หรือที่เป็นเช่นนี้เพราะการทำสงครามที่เกิดขึ้นกัน ดวงตาคู่สวยกวาดมองเหล่าทหารหลายหมื่นที่ถอยร่นมาตั้งหลักหน้าช่องแคบอิ่งโตวด้วยความหดหู่ใจ ทุกคนในที่นี้ต่างมีครอบครัว มีคนที่รักรออยู่ หากต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่เพราะความผิดพลาดของนาง ชาตินี้นางคงให้อภัยตัวเองไม่ได้แน่ ๆ “ทำอย่างไรถึงจะเกิดความสูญเสียน้อยที่สุด” นางพูดกับตัวเอง ทหารที่ได้รับบาดเจ็บนั้นมีนับพัน และจากที่ดูคนที่ยังใช้การได้ก็ไม่สู้ดีเพราะทุกคนต่างเหนื่อยและอ่อนแรง “นั่นคือสิ่งที่ข้าอยากให้เป็นมากที่สุด” นางพยักหน้าเข้าใจหลับตาลงอย่างใช้ความคิด ในโลกปัจจุบันมีการทำสงครามหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการสู้รบโดยขีปนาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างรุนแรง หรือแม้แต่สงครามเย็นที่ใช้จิตวิทยาเข้าห้ำหั่นกัน แต่ในยุคโบราณแบบนี้นางไม่รู้อะไรเลย นอกจากที่เคยดูในหนังจีนย้อนยุคมา “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ข้าต้องการจะรู้ทุกข้อมูลของฝั่งเราและฝั่งตรงข้าม” พูดจบนางก็ยืนเงียบมองสำรวจไปรอบๆ ชินอ๋องมองหญิงสาวที่ยืนนิ่งเงียบ ไม่ทำตัวบ้าเหมือนเช่นเคย แล้วให้นึกทึ่งที่คนเสียสติเช่นนางจะเป็นการเป็นงานกับเขาได้ “ได้ ตามข้ามา” เขามีแผนอยู่ในหัวอยู่แล้ว แต่ก็อยากฟังว่านางจะมีความคิดอะไรอีก “กระหม่อมนายกองมู่ คารวะชินอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” คิ้วเรียวขมวดมองนายทหารที่นั่งคุกเข่าทำความเคารพคนหน้าเหี้ยมเหตุใดผู้คนถึงได้เกรงกลัวเขานัก เดินไปทางไหนผู้คนต่างคุกเข่าทำความเคารพเขาทั้งนั้น เขาเป็นใครกัน เขาไม่ใช่นายทหารชั้นผู้ใหญ่อย่างที่นางคิดหรือ แล้วไหนจะคำราชาศัพท์ที่ทุกคนใช้พูดกับเขาอีก ถึงจะได้เรียนรู้วิธีการพูดจากหลินฟางซีคนเก่า แต่นางกลับไม่มีความรู้เรื่องยศศักดิ์ฐานันดรหรือแม้แต่ความรู้รอบตัวเลย “ลุกขึ้นได้ เราต้องการสมุดบันทึกของกองทหาร” “พ่ะย่ะค่ะ” นายกองรีบเดินเข้าไปขนสมุดบันทึกออกมาวางให้เขา “เจ้าออกไปได้” หลินฟางซีแอบย่นจมูกใส่คนชอบสั่ง ใช้เขาแล้วแทนที่จะมีคำขอบใจบ้าง แต่พ่อคุณกลับทำมือไล่ “พ่ะย่ะค่ะ” นายกองโค้งตัวก้มหัวให้เขาก่อนจะเดินออกจากกระโจม “พี่ชินอ๋อง ท่านเป็นใครกันแน่ทำไมพวกเขาถึงคุกเข่าให้กับท่าน” คนถูกถามยกยิ้มขำบางๆ “เจ้ารู้หรือไม่ ว่าข้าชื่ออะไร” “แน่นอน ก็ข้าเพิ่งเรียกท่านไป จะไม่รู้ได้อย่างไร” เหวินฉีที่ยืนอยู่กลั้นขำจนตัวสั่น สมุดในมือชินอ๋องตีลงบนหัวนางอย่างนึกมันเขี้ยว “โอ๊ย! ท่านมาตีหัวข้าทำไม!” มือบางลูบหัวตัวเองปอยๆ มองเขาหน้าหงิกงอ “เผื่อว่าเจ้าจะหายบ้า แล้วกลับมาเป็นหลินฟางซีคนเดิม” “เชอะ! พอนางกลับมา เดี๋ยวท่านจะคิดถึงข้า” นางย่นจมูกใส่เขา “ไม่มีวัน” เขาตอบออกไปไวเท่าความคิด ใครจะไปคิดถึงนางกัน เมื่อไหร่ที่นางไปเขาคงจะมีความสุขกว่าตอนนี้เป็นร้อยเท่าพันเท่า “นี่คือสมุดบันทึกทั้งหมด หากอยากรู้ก็อ่านเอาเอง” เขาโยนสมุดบันทึกมาวางตรงหน้านาง “ข้าไม่อ่าน” มือบางหยิบขึ้นมาเปิดดูก่อนจะโยนกลับไปให้เขา “เป็นเจ้าเองไม่ใช่รึที่อยากจะรู้เรื่องพวกนี้ หากไม่อ่านแล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไร” หลินฟางซีปรายตาไปมองหน้าเขาก่อนจะเชิดหน้าขึ้น “ใช่ เป็นข้าเองที่อยากรู้ แต่ข้าไม่อ่าน” “ทำไม” เขาขมวดคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ “อ่านไม่ออก” ไม่เคยเรียนจีนจะให้อ่านออกได้อย่างไร ในความทรงจำของหลินฟางซีก็ไม่มีเรื่องเกี่ยวกับพวกนี้เลย ชินอ๋องกลั้นขำแทบไม่อยู่ มองใบหน้าสวยที่มองเขาตาขวางแล้วยิ่งอยากจะหัวเราะออกมาเสียงดัง “คนบ้าเสียสติเช่นเจ้า คงคาดหวังอะไรไม่ได้จริงๆ” เขาส่ายหัวน้อยๆ ให้ก่อนจะเดินออกจากกระโจม “เออ! อย่ามาขอร้องข้าให้ช่วยแล้วกัน!” นางตะโกนตามหลัง อย่าได้ดูถูกนางเชียว ถึงนางจะดูไม่ได้เรื่อง แต่ก็จบเคมีการเกษตรอันดับหนึ่งเลยนะ แถมเป็นดาวมหาลัยอีก ทั้งสวยทั้งเก่งมีแต่หนุ่มวิ่งตาม แต่ไม่มีใครถูกใจนางสักคน จึงได้อยู่เป็นโสดแบบนี้ ….
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD