หลินฟางซีมองอาหารที่ถูกนำมาวางตรงหน้าตาวาว แต่ละอย่างมีแต่น่ากินทั้งนั้น แต่พอตักเข้าปาก นางกลับกลืนไม่ลง เมื่อนึกถึงแม่ที่ต้องนั่งทานข้าวคนเดียว ถึงอาหารตรงหน้าจะอร่อยเหาะเพียงใด แต่ก็ไม่สู้อาหารฝีมือแม่ มือบางยกขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลหยดลงมา กลั้นใจเคี้ยวข้าวเพื่อประทังร่างที่ยืมอาศัย
“ฮึกๆๆ”
ชินอ๋องนั่งมองหญิงสาวที่ก้มหน้าทานข้าวปนเสียงสะอื้นอย่างไม่รู้ว่าจะรับมือกับนางอย่างไรดี ก่อนหน้านี้ยังโวยวายทำตัวเหมือนม้าดีดกะโหลกอยู่เลย มาตอนนี้กลับมานั่งร้องไห้ตัวสั่นเหมือนลูกนกหลงรัง
“รีบกิน เราต้องรีบออกเดินทาง”
นางนิ่งเงียบไม่ตอบ มีเพียงน้ำตาที่หยดแหมะลงบนโต๊ะ
มือหนายกขึ้นลูบหน้าตัวเองเหนื่อยใจที่ต้องมานั่งพูดกับคนเสียสติ
“เหวินฉีให้คนไปเอาชุดเกราะของนางมาที่นี่”
ขืนรอให้นางกินเสร็จคงมืดค่ำพอดี
“พ่ะย่ะค่ะ” เหวินฉีรีบทำตาม และเพียงไม่นานเขาก็เดินกลับเข้ามาพร้อมกับชุดของนาง
“ไปเปลี่ยนชุดในห้องนั้น” มือหนาหยิบชุดจากเหวินฉีแล้วโยนให้นาง
“โอ๊ะ!” ร่างบางรับชุดตัวเซ หนักอึ้งจนเกือบล้มแบบนี้ จะให้นางใส่ได้อย่างไร
“ไปเตรียมม้าให้พร้อม อีกหนึ่งก้านธูป เราจะออกเดินทาง”
เขาสั่งองครักษ์ก่อนจะเดินไปหยิบชุดเกราะมาสวม ดวงตาคมกริบหันไปมองหญิงสาวที่ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาหรืออุตส่าห์เสียสละห้องแต่งตัวให้นาง แต่นางกลับเอาแต่ยืนนิ่ง
“เจ้ายืนทำอะไร ข้าสั่งให้เจ้าไปเปลี่ยนชุด!”
ดวงตาคู่สวยตวัดไปมองคนหน้าเหี้ยมอย่างนึกเคือง
“ข้าใส่ไม่เป็น”
ขนาดชุดที่ใส่อยู่นี่ดูเรียบง่าย นางยังต้องให้ชิงชิงช่วยเลย แล้วจะให้นางใส่ชุดเกราะที่ดูซับซ้อนแบบนี้ได้อย่างไร โชคดีที่หลินฟางซีมีแต่ชุดธรรมดา ขนาดกระจกหญิงสาวก็ยังไม่มี เพราะชิงชิงบอกว่านางไม่ชอบมองหน้าตัวเอง ทุกอย่างนางจะทำเองหมด ชิงชิงจึงมีหน้าที่เพียงหาน้ำหาข้าวมาวางไว้ให้เท่านั้น ตอนนี้นางจึงไม่รู้ว่าหญิงสาวมีหน้าตาอย่างไร
แต่ก็พอจะดูออกว่านางนั้นคงงดงามไม่น้อย ผิวกายถึงจะไม่ขาวใสเพราะกรำแดด แต่ทรวดทรงองค์เอวนั้นกลับสมบูรณ์แบบ
“ฟู่” เขาพ่นลมหายใจยาวเหยียด วางชุดเกราะของตัวเองลงบนโต๊ะก่อนจะเดินไปดึงชุดเกราะออกจากมือนาง
“ตามข้ามานี่”
ใบหน้าสวยงอง้ำ เดินตามเขาเข้าไปด้านใน พอมายืนหน้ากระจกนางจึงได้รู้ว่าหลินฟางซีนั้นมีใบหน้าเหมือนนางทุกกระเบียดนิ้ว จะต่างก็ตรง สีตาเท่านั้น เพราะนางมีตาสีดำสนิท ส่วนหลินฟางซีนั้นมีตาสีม่วงเข้ม
นางก็เพิ่งนึกได้ว่าทุกคนที่นี่มีสีตาแตกต่างจากคนจีนหรือชาวเอเชียโดยสิ้นเชิง...ที่นี่ไม่ใช่จีนโบราณอย่างนั้นรึ? แต่ทำไมนอกจากสีตาแล้วทุกอย่างถึงได้เหมือนสมัยจีนโบราณที่นางเคยดูในหนังนัก
“เจ้ามองหน้าตัวเองพอหรือยัง หันมาทางข้า”
มือหนาจับตัวนางหันก่อนจะสวมเสื้อเกราะให้ด้วยอารมณ์หงุดหงิด ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยต้องมายอมใครเช่นนี้มาก่อน หากไม่รีบหรือนึกถึงราษฎรเขาไม่มีวันทำให้นางแน่
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางพูดเสียงหงอย ไม่สดชื่นเช่นเคย
ใจแกร่งหวิวไหวแปลกๆ ที่เห็นนางทำหน้าเศร้า จนต้องรีบเดินหนี เพราะไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เกิดมาไม่เคยพูดปลอบใครสักคน