“สติ…สติ…หนิงซิน! ถ้าเป็นเช่นนี้จริง ๆ เธอควรเอาตัวรอดก่อน!”
เธอกระซิบเบา ๆ กับตัวเอง มือกุมขมับราวกับกำลังรวบรวมความคิด แต่ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็พุ่งเข้ามาอย่างแรงเอ๊ะ! ถ้าฉันทะลุเข้ามาเป็นนางเอกในนิยายจริง…นั่นเท่ากับฉันต้องถูกส่งไปแต่งงานกับพระเอก…อ๋องเจ้าชู้คนนั้น!
เธอหน้าซีด แขนขาเริ่มสั่น“ไม่มีทาง! ฉันจะไม่แต่งให้พระเอกเจ้าชู้คนนั้นเด็ดขาด...” เสียงพึมพำดังราวกับตะโกนใส่ตัวเอง หนิงซินถอนหายใจเฮือกใหญ่ กำมือแน่น เอาล่ะ…เป็นนางเอกก็นางเอก ฮึ่ย! ชีวิตของฉันฉันต้องควบคุมเองให้ได้
“ฮ่ะ…แฮ่ม! เจ้า…”
สาวใช้สะดุ้งเล็กน้อย หนิงซินพยายามเรียกความสง่างามกลับคืนสู่ร่างมาดนางเอกในนิยาย แต่ท่าทางที่เธอพยายาม “ตั้งใจสำรวม” กลับออกมาเหมือนสาวยุคใหม่หัวร้อนทะลุมิติอยู่ดี
สาวใช้คิ้วกระตุกเล็กน้อย ทำหน้างงอย่างสุด ๆ“คุณหนู…ท่านหมายถึง…อะไรเจ้าคะ?”“ข้าจะ…เอ่อ…ชื่ออะไรนะ?”
หนิงซินกัดฟัน พยายามถามสาวใช้เพื่อทวนบท เผื่อทะลุเข้ามาผิดเรื่อง
สาวใช้ยกคิ้วสูง ทำหน้างงปนงุนงง“หา! คุณหนูทะ…ท่าน…ให้ข้าบอกชื่อของท่านเองกระนั้นหรือเจ้าคะ?”
หนิงซินก้มหน้าพลางพึมพำเสียงเบาในเมื่อ…ทะลุมิติมาแล้วจริง ๆ…งั้นฉันต้องใช้ชื่อร่างนี้…และใช้ชีวิตในร่างนี้เพื่ออยู่รอดในโลกนิยายย้อนยุคให้ได้
“ชื่อของคุณหนูคือ…หลินอวี้เฟย เจ้าค่ะ”
หนิงซินผงะ มือปัดหน้า“หลิน…อวี้…เฟย…เข้ามาถูกเรื่องจริง ๆ ด้วย”
หนิงซินพึมพำต่อ ก่อนจะหรี่ตามองสาวใช้ตัวน้อย เพื่อตั้งคำถามต่อ
“ข้าเป็นบุตรีของใคร มีความสามารถอะไรบ้าง หรือนิสัยเป็นอย่างไร?”
หนิงซินเอ่ยเสียงตื่นเล็กน้อยเพราะเกรงว่าตัวเองจะทำท่าท่าแปลกพิกลไปมากกว่านี้
สาวใช้ก้มตัว ทำหน้างง“คุณหนู เหตุใดวันนี้ท่านถามแปลกยิ่งนัก”
หนิงซินขมวดคิ้ว ดวงตาเป็นประกายฉุกคิด“ข้าไม่ได้แปลก เพียงแต่ข้ากำลังทบทวนความจำของเจ้าต่างหาก ว่าภาพจำของข้าที่เจ้ามี…เป็นอย่างไร รีบบอกมา!”
สาวใช้ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนตอบช้า ๆ“คุณหนูท่านเป็นบุตรสาวคนโตแห่งตระกูลหลิน ผู้มีสายเลือดสูงศักดิ์ มีความสามารถด้านวรรณศิลป์และการขี่ม้า ท่านสุภาพ เรียบร้อย อ่อนน้อมถ่อมตน และมักปฏิบัติตามมารยาทของหญิงสูงศักดิ์ทุกประการ เจ้าค่ะ”
หนิงซินทำหน้าเหยเก มือกุมขมับ คำพูดของสาวใช้แต่ละคำเหมือนหลอกด่าเธอตัวจริงที่เข้ามาแฝงอยู่ในร่างนี้อย่างไรอย่างนั้น‘โอ๊ย…เรียบร้อย…สุภาพ…อ่อนน้อม…นี่ฉันตรงข้ามกับร่างนี้สุด ๆ’
เธอพึมพำเสียงเบา‘แต่ช่างเถอะ…ถ้าฉันจะเอาตัวรอดในโลกนี้ ต้องปรับบทให้เข้ากับร่าง…แต่ฉันก็จะไม่ยอมให้พระเอกเจ้าชู้ ได้ใจนางเอกคนนี้เด็ดขาด ตราบใดที่ฉันยังอยู่’
“หากท่านพร้อมแล้ว ข้าจะพาท่านไปดูชุดสำหรับพิธีสมรสเจ้าค่ะ”
หนิงซินพยักหน้า แม้ภายในใจจะเต้นแรง เธอต้องคิดหาวิธีให้ได้ ว่าควรทำอย่างไรดีเพื่อให้หลุดพ้นจากพิธีสมรสนี้“เดี๋ยวนะ เจ้าชื่ออะไร?”‘ต้องมีแผน…ต้องรอดจากพระเอก…และต้องช่วยพระรองให้ปลอดภัย’
เธอกวาดสายตาไปยังสาวใช้ พลางถามด้วยน้ำเสียงรีบเร่ง“เดี๋ยวนะ…เจ้าชื่ออะไร?”
สาวใช้หลู่เจินช้อนสายตามองคุณหนู คิ้วบางประดับเหนือดวงตาอ่อนเยาว์ของตนราวกับเส้นรุ้ง“ข้าชื่อ…หลู่เจิน เจ้าค่ะ”
สาวใช้ตอบด้วยความนอบน้อมและสุภาพ ไม่ขัดใจผู้เป็นนายสาว ทว่าภายในใจหลู่เจินกลับเกิดคำถามมากมาย
เหตุใดวันนี้คุณหนูหลินอวี้เฟย จึงแสดงกิริยาราวกับหลงลืมความทรงจำของตนเอง
“หลู่เจิน…เจ้ารู้จักคุณชายหลิวเซียนหรือไม่?” หนิงซินถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความสนใจเร่งด่วน ราวกับว่าคิดอะไรออกขึ้นมาในทันใด
หลู่เจินชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาเบิกกว้าง“คุณหนู! ท่านมิได้สบายใจหรือเจ้าคะ?”
หนิงซินขมวดคิ้ว ทำหน้าเหมือนขุ่นเคืองเล็กน้อย“เจ้าว่าอะไร…ข้าสบายดี เพียงแต่ถามหาคุณชายหลิวเซียนเท่านั้นเอง”
สาวใช้ก้มหน้าลงเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงความระมัดระวังขั้นสุด คล้ายกับกำลังชั่งใจว่าจะเอ่ยวาจาออกมาดีหรือไม่
หนิงซินเห็นเช่นนั้นก็กระตุกคิ้ว แววตาเริ่มแสดงความไม่สบอารมณ์“ว่าอย่างไร…รู้จักหรือไม่ หากเจ้าจะยึกยัก ข้าจะไปถามผู้อื่นแล้วนะ!”
หนิงซินขึ้นเสียง น้ำเสียงและสีหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิดในใจ‘คนโบราณทำไมถึงได้ซื่อบื้อเชื่องช้าเช่นนี้นะ…ให้ตายเถอะ…ไม่น่าอยากเข้ามาในนิยายเลยฉัน เฮ้อ!’
หลู่เจินก้มหน้าลงลึกยิ่งขึ้นด้วยความกลัว ลมหายใจราวสายลมพัดผ่านสวนฤดูใบไม้ผลิ“ท่านถามหาบุรุษที่ท่านเคยห้ามข้าเอ่ยถึง…ท่านเคยบอกว่ารังเกียจเขา ไม่อยากได้ยินแม้แต่ชื่อเจ้าค่ะ”
แววตาของหนิงซินเบิกกว้างทบทวนเนื้อหาในนิยายที่เคยอ่านอีกครั้ง
‘จริงด้วย แม่นางเอกคนนี้ รักเดียวใจเดียวแค่พระเอก เลยต้องเจ็บช้ำระกำใจ พระรองหล่อรวยเป็นถึงบุตรชายคนโตของ เสนาบดีกรมพิธีการผู้รักเดียวใจเดียวกลับไม่เหลียวแล’
“ต่อไปนี้…เอ่ยถึงเขาได้” หนิงซินยกคางขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวผิดกับกิริยาที่อ่อนหวานของคุณหนูในยามปกติ “และข้าตอนนี้…อยากเจอคุณชายหลิวเซียน เจ้าต้องเป็นผู้พาข้าไป”
“หา…!” หลู่เจินตาโต เผลออุทานออกมาเสียงสูง ก่อนรีบก้มหน้าแทบติดพื้น“ขะ…ข้าไม่รู้จะพาท่านไปเจอคุณชายได้อย่างไรเจ้าค่ะ”
สาวใช้คุกเข่าลงอย่างหมดปัญญา หัวใจเต้นแรงด้วยความหวั่นเกรง ภายในใจเต็มไปด้วยคำถามประหนึ่งพายุพัด‘วันก่อนคุณหนูยังเร่งข้าเรื่องชุดแต่งงานอยู่เลย…ถึงกับนั่งเลือกผ้าด้วยตัวเองแทบทั้งวัน เหตุใดเพียงชั่วข้ามคืน ท่านถึงกลับมิสนใจพิธีสมรส ทั้งยังเอ่ยถึงคุณชายหลิวเซียน…ผู้ที่ท่านเคยกล่าวว่าเกลียดนักเกลียดหนา!’
หลู่เจินเม้มริมฝีปากแน่น ราวจะกลั้นถ้อยคำที่มิกล้าเอื้อนเอ่ยออกมา แววตาสั่นระริกดุจผิวน้ำต้องลม ไม่รู้ว่าควรปฏิบัติตนเช่นไรต่อไป เมื่อเห็นคุณหนูของตนเอาแต่เดินวนไปมาในห้องดั่งนกน้อยไร้รังพักพิง ริมฝีปากพร่ำบ่นกับตนเองมิหยุดหย่อน คล้ายสตรีวิปลาส หาใช่คุณหนูผู้เรียบร้อยอ่อนหวานดั่งเช่นคนเดิมที่เคยเป็นแม้แต่น้อย