ตอนที่ 8

1262 Words
“ข้าทำสิ่งใดให้เจ้าคิดว่าข้าไม่รักเจ้าเลยสักน้อย?”เสียงเย่หมิงหยวนสั่นพร่าด้วยความเจ็บปวด ก้าวเข้ามาใกล้เบื้องหน้านาง ดวงตาคมกริบราวกับมีเพลิงไฟลุกโชนอยู่ในนั้น หนิงซินแค่นหัวเราะเบา ๆ คล้ายเย้ยหยัน ลมปรานแผ่วลอดผ่านเรียวปากบาง แต่กลับเย็นเฉียบดุจน้ำแข็งในหุบเหวฤดูหนาว แววตาของนางนั้นไร้ซึ่งเยื่อใย เหมือนกองเพลิงที่สิ้นเชื้อ ราวกับตัดขาดทุกพันธะที่เคยผูกไว้“หากท่านยังมิรู้ ข้าจะบอกให้กระจ่างท่านลองถาม ชายารอง ของท่านดูเถิด แม้แต่ชุดเจ้าสาวที่ข้าจะสวมก็ยังมิอาจรอดพ้นเงื้อมมืออันอิจฉาริษยาของนางได้” “เจ้าใส่ร้ายข้า! บังอาจนัก!!”ชายารองลุกพรวดขึ้น ร่างงามสั่นสะท้านด้วยความโกรธ นัยน์ตาเต็มไปด้วยการดิ้นรนปฏิเสธ ทันใดนั้น หลู่เจินผู้เป็นสาวใช้ใกล้ชิดก็โพล่งออกมา น้ำเสียงสั่นเครือแต่หนักแน่น“ความจริงเป็นดั่งที่คุณหนูเอ่ยเจ้าค่ะ ท่านอ๋อง! ข้าน้อยอยู่เคียงข้างคุณหนูมาตลอด เห็นกับตาว่าคุณหนูถูกชายารองกลั่นแกล้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครา แต่คุณหนูเลือกจะอดกลั้น มิเอ่ยออกมา เพื่อมิให้ท่านลำบากใจ…” คำพูดกล้าหาญของหลู่เจินราวกับสายฟ้าฟาดกลางโถง ความเงียบหนักอึ้งปกคลุมไปทั่ว แขกเหรื่อเริ่มซุบซิบ เสียงประณามชายารองแผ่วดังขึ้นทีละน้อย เย่หมิงหยวนชะงักไป นัยน์ตาคมปราบที่เคยมั่นคงกลับสั่นระริก ความลังเลและเจ็บปวดฉายชัดบนใบหน้าสง่างาม เขามิใช่คนโง่ ย่อมรู้ดีว่าความจริงตรงหน้านี้ ต่อให้ไร้หลักฐานก็ไม่อาจปฏิเสธได้ “นั่นหรือคือรักที่ท่านมอบแก่นาง?”เสียงหลิวเซียนทุ้มหนัก เปล่งออกมาเสมือนกระบี่เฉือนกลางอากาศ “ในจวนของท่านมีอนุภรรยามากมาย หากรักเพียงเปลือกหาใช่จริงแท้…คุ้มแล้วหรือ ที่อวี้เฟยจะฝากหัวใจไว้กับท่าน เย่หมิงหยวน!” “ไม่จริงนะเจ้าคะท่านพี่!” ชายารองซูหรงลุกขึ้นตะโกนเสียงสั่น น้ำตาคลอ “ข้ายินดีให้ท่านรับนางเข้ามาเป็นชายาเอกอยู่แล้ว ท่านก็รู้ดีมิใช่หรือ “หุบปาก!”คำตวาดก้องดุดันดุจฟ้าผ่า ใบหน้าซูหรงซีดเผือดลงทันใด “เอาล่ะ ๆไม่ต้องเอ่ยอันใดออกมาให้มากความอีกแล้ว” เสียงเสนาบดีหลินเจิ้งหาวดังขึ้น ดุดันแต่เปี่ยมด้วยอำนาจ ดวงตาคมหันไปจับจ้องซูหรงผู้เป็นหลานสาว จนบรรยากาศทั้งโถงเงียบสงัดชั่วครู่“ท่านอ๋อง…ในเมื่อท่านให้นางเป็นผู้เลือก เช่นนั้นก็จงปล่อยให้คำตอบนั้นหลุดออกจากปากอวี้เฟย แล้วจบเรื่องนี้เสียเถิด” สุรเสียงท่านเสนาบดีหลินเจิ้งหาวแผ่วแต่หนักแน่น คล้ายระฆังยามรุ่งสางก้องกังวานในโถงใหญ่ ความโกรธอันเร่าร้อนเมื่อครู่พลันมลายหาย เหลือเพียงสายตาคมดุจับจ้องไปยังบุรุษตรงหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่าย ท่านผู้เฒ่ามิใช่คนอันธพาล หากแต่เป็นขุนนางผู้ยึดมั่นในความเที่ยงธรรม อีกทั้งตลอดชีวิตเขามีเพียงภรรยาเอกคนเดียว มิได้ข้องแวะอนุภรรยาเช่นใครอื่น ดังนั้นเมื่อมองเห็นบุตรสาวถูกกลั่นแกล้งเพราะความไม่รู้จักพอของบุรุษผู้หนึ่ง ใจย่อมเอียงเข้าข้างนางอย่างมิอาจห้าม “เอาที่ใจเจ้าปรารถนาเถิด อวี้เฟย อย่าพะวงเรื่องใดอีกเลย”หลิวเซียนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนดุจสายน้ำเย็นคอยปลอบประโลม ‘จิตใจของท่านช่างงดงามนัก…ไม่มีเหตุผลใดเลยที่ข้าจะไม่เลือกท่าน’หนิงซินเอ่ยทุกอย่างผ่านสายตา ก็ทำให้หลิวเซียนเข้าใจทุกอย่างชัดเจน “ข้าเลือก…หลิวเซียน” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นอ่อนหวาน ทว่ากลับหนักแน่นประหนึ่งหินผา หลุดออกจากริมฝีปากอวี้เฟย ดวงตาของนางฉายประกายแน่วแน่ ไร้ซึ่งความลังเลแม้แต่น้อย หลิวเซียนพลันเผยรอยยิ้ม เปี่ยมสุขสว่างไสวปานดวงตะวันรุ่งอรุณในทันใด หากแต่ตรงกันข้าม เย่หมิงหยวนกลับหน้าซีดเผือด ม่านตาสั่นไหวแต่พยายามอดกลั้นข่มความเจ็บปวดนั้นเอาไว้ในข้างใน เขาเป็นผู้เอ่ยเองว่าจะให้นางเป็นผู้เลือก เมื่อวาจาถูกประกาศไปแล้วก็ไม่อาจหวนคืนได้ ครั้นต้องเผชิญหน้ากับความจริง ใจข้างในกลับร้อนรนดั่งเพลิงโหมเผา ความรักที่เคยคิดว่ายังพันธนาการอยู่ในอก เกิดความสงสัยกัดกร่อนอยู่ในใจ เหตุใดกัน เพียงชั่วข้ามคืน หญิงที่เคยผูกพันรักใคร่ กลับเย็นชาเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ “ท่านพ่อตา…ข้าขอให้สัตย์สาบานต่อหน้าผู้คนในวันนี้ จะรักและมีเพียงนางผู้เดียว มิเคยคิดรับอนุหรือภรรยาใดเข้ามาเหยียบย่างในจวนอีกตลอดชีวิต”ถ้อยคำหนักแน่นของหลิวเซียน สะท้อนก้องไปทั่วโถงใหญ่ ทุกถ้อยวาจาเต็มไปด้วยความจริงใจ เสมือนตราประทับที่สลักลงกลางหัวใจผู้คนที่ได้ยิน เรื่องราวอัปยศที่เล่าลือดั่งไฟลามทุ่งเพียงชั่วข้ามคืน จู่ ๆ กลับแปรเปลี่ยนเป็นความรักอันชื่นมื่นดุจบุปผาแรกแย้ม ผู้คนที่ได้ประจักษ์ต่างพากันซุบซิบด้วยความยินดีและนับถือในคำสัตย์ของหลิวเซียน ส่วนอ๋องเย่หมิงหยวนนั้น…ความเจ้าชู้โลภมากของเขาเป็นที่เลื่องลือไปทั้งใต้หล้า สตรีใดที่ถวิลหาความรักมั่นคงผัวเดียวเมียเดียว คงยากที่จะฝากชะตาชีวิตไว้ในเงื้อมมือบุรุษเช่นเขาได้อีกต่อไป “เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้…เหตุใดกลับไม่มีผู้ใดเชิญข้ามา”เสียงทุ้มต่ำเปี่ยมด้วยอำนาจดังขึ้นก้องกลางโถง ทุกผู้หันขวับไปตามต้นเสียง บุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์ขุนนางสูงศักดิ์ก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม แววตาคมกริบแฝงความน่าเกรงขามยิ่งนักเขามิใช่ใครอื่น หากแต่เป็น หลิวอวิ๋นเจี่ย ขุนนางผู้ทรงอำนาจแห่งราชสำนัก และยังเป็นบิดาของหลิวเซียนโดยตรง ทันทีที่ปรากฏกาย บรรยากาศในโถงดั่งถูกรัศมีบารมีอันสูงศักดิ์ของท่านหลิวพรางไว้ชั่วขณะ ทุกคนต่างรีบก้มศีรษะคารวะ แม้แต่เสนาบดีหลินเจิ้งหาวก็ยังต้องลุกขึ้นประสานมือโค้งคำนับ “ท่านอ๋องเย่หมิงหยวน…ท่านเสนาบดีหลิน”สายตาคมของหลิวอวิ๋นเจี่ยกวาดมองไปทั่ว ก่อนจะหยุดนิ่งที่บุตรชายตนซึ่งยังคงยืนประคองร่างอวี้เฟยไว้มิคลาย“เรื่องหมั้นหมายที่สั่นคลอนจนเป็นข่าวอัปยศเกรียวกราว…ถึงคราวแล้วกระมังที่เรือนหลินและเรือนหลิวจักต้องจัดการให้ชัดต่อหน้าฟ้าดิน” “ท่านหลิว…ในเมื่อบุตรของข้ากับบุตรของท่าน มีใจผูกพันประสงค์จะลงเอยร่วมชีวิต เช่นนั้นก็มิอาจฝืนชะตาฟ้าได้แล้ว”สุรเสียงหนักแน่นของเสนาบดีหลินเจิ้งหาวเอ่ยขึ้น สายตาคมดุจคมดาบมองสบอีกฝ่ายราวประกาศเจตจำนง “เพียงแต่…เพื่อมิให้ผู้คนครหาว่าตระกูลหลินตัดสินใจด้วยอารมณ์ ข้าขอเลื่อนพิธีวิวาห์ออกไปอีกสามวัน ให้ทุกสิ่งจัดเตรียมให้พร้อมสมเกียรติ และให้แผ่นดินรับรู้ว่านี่มิใช่เรื่องอัปยศ แต่คือวาสนาล้ำค่า” เขาหันกวาดตามองทุกผู้ในโถง กลับกลายเป็นสายตาออกคำสั่ง“ท่านทั้งหลาย…จงแยกย้ายกลับไปกันเถิด เรื่องในวันนี้ ข้าหลินเจิ้งหาวถือว่าได้ตัดสินแล้ว”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD