บรรยากาศหลังจากความวุ่นวายทั้งปวงจบลง ยิ่งขับเน้นความเคร่งเครียดในห้องโถงย่อยของตระกูลหลิน เมื่อเหลือเพียงบิดา มารดา และบุตรสาว เสียงถอนหายใจ ของผู้เป็นมารดาดังขึ้นราวกับแฝงความอัดอั้นหลังจากก่อนหน้านี้นั่งฟังนิ่งปล่อยให้สามีเป็นผู้ออกหน้าจัดการ
“เหตุใดเจ้าจึงก่อเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้…อวี้เฟย”ฮูหยินตระกูลหลินเอ่ยขึ้น ดวงตาสั่นระริกทั้งโกรธทั้งปวดใจ
“ท่านแม่…ข้าขอโทษ” หนิงซินในร่างอวี้เฟยก้มหน้านิ่ง สองมือกำชายอาภรณ์แน่น “ท่านพ่อ ข้าขออภัย แต่ลูก…มิอาจแต่งเข้าจวนอ๋องได้จริง ๆ”
“หึ!” เสนาบดีหลินเจิ้งหาวสะบัดแขนเสื้อด้วยความขุ่นเคือง “ก่อนหน้านี้พ่อก็เคยตักเตือน เจ้าไม่ยอมฟัง กลับดื้อรั้นจะเข้าจวนอ๋องให้ได้ แล้วเป็นอย่างไรเล่า! ดีที่พิธีสมรสครั้งนี้มิใช่ราชโองการ หากเป็นเช่นนั้น เกรงว่าไม่เพียงเจ้า แต่ทั้งตระกูลหลินก็คงถูกลากไปฝังทั้งเป็น!”
น้ำเสียงดุดันของหลินเจิ้งหาวเสมือนคมดาบกรีดซ้ำลงกลางใจผู้เป็นบุตรี บรรยากาศภายในห้องอึดอัดหนักหน่วงจนแม้แต่ลมหายใจยังติดขัด มารดาของนางยกมือขึ้นกุมอก น้ำตารื้นเอ่อด้วยความหวาดหวั่น กลัวว่าลูกสาวจะถูกลงโทษสถานหนัก
ทว่า…ในใจของหนิงซินกลับเย็นสงบ‘เฮ้อ…เล่นใหญ่กันจริงเชียว’ นางคิดพลางกลั้นหัวเราะไม่ให้เล็ดรอดออกมา ‘แต่ก็ไม่แปลก นี่คือท่านเสนาบดีหลินเจิ้งหาว ผู้ที่ทั้งใต้หล้าร่ำลือถึงคุณธรรมอันสูงส่ง บิดาในอุดมคติชัด ๆ ถึงจะทำหน้าดุแค่ไหน แท้จริงก็ใจดีจะตาย’
“แต่ท่านก็ตัดขาดข้าไปแล้ว”หนิงซินอดน้อยใจแทนร่างนี้ไม่ได้ ถึงแม้ว่าทั้งคู่มิใช่บิดาและมารดาแท้ ๆ แต่จิตสำนึกในร่างของหลินอวี้เฟยยังมีความรักผูกพันอยู่อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่าสองท่านคือบิดาและมารดา
“เจ้านี่นะ!” เสียงหลินเจิ้งหาวแฝงความห่วงใยแต่ยังเข้มงวด “ตอนนั้นข้าโกรธ มันก็สมควรแล้วสิ่งที่เจ้าได้กระทำลงไปมิใคร่ครวญจริง ๆ มิใช่หรือ”
น้ำเสียงหนักแน่นของบิดาเหมือนลมที่พัดผ่าน แม้คำพูดจะฟังดูดุราวคมดาบ แต่สำหรับผู้รู้อนาคตอย่างหนิงซิน กลับเห็นร่องรอยของความเอ็นดูซ่อนอยู่เบื้องหลังคำดุดันนั้น
หนิงซินสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเงยหน้าขึ้น แม้แววตายังมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอ แต่กลับเจือประกายแน่วแน่
“ท่านพ่อ ท่านแม่…ข้ามิได้คิดลบหลู่คำสอนของท่านทั้งสอง หากแต่ในใจข้ารู้ดี ถ้าแต่งเข้าจวนอ๋อง ชีวิตข้าย่อมล่มสลายไปอย่างไม่อาจกอบกู้ได้”
“เหตุใดเจ้ากล้าพูดเช่นนี้! อ๋องหมิงเย่คือบุรุษผู้สูงศักดิ์ ชีวิตของเจ้าเล็กน้อยยิ่งกว่าธุลี ยังจะกล้า”
หลินเจิ้งหาวขึ้นเสียงอีกครั้ง ทว่าเสียงของบุตรสาวกลับแทรกขึ้นมา
“ท่านพ่อ…ข้าขอวิงวอนให้เชื่อในคำของลูกเพียงครั้งเดียว” หนิงซินกัดริมฝีปาก น้ำเสียงสั่นเครือ
“เบื้องหน้าของผู้คน เขาคืออ๋องผู้สง่างาม ทว่าเบื้องหลัง…ข้ามิอาจบอกได้ว่ามีสิ่งใดรออยู่ แต่สิ่งที่แน่ชัดคือ ข้าจะไม่มีวันมีความสุขถ้าอยู่เคียงข้างเขา”
หลินอวี้เฟยค้อมกายลง กราบแทบเท้าบิดามารดา ราวกับยอมรับโทษทุกประการ
“ช่างเถิด ๆ…” เสียงของเสนาบดีหลินเจิ้งหาวแฝงความหนักแน่น หากลึกลงไปในแววตากลับมิได้เปี่ยมด้วยโทสะอย่างแท้จริง มีเพียงความห่วงกังวลอันยากเกินเอื้อนเอ่ยเท่านั้น
“เจ้าคือบุตรีเพียงคนเดียวของข้า ส่วนน้องชายของเจ้าก็ประจำการอยู่ ณ ค่ายทหารชายแดน ร้อยวันพันปีถึงจะได้กลับบ้านสักครั้ง หากเกิดอันใดขึ้นกับเจ้าเล่า...แล้วตระกูลหลินจะเหลือผู้ใดไว้สืบทอดต่อไป”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ ต่อแต่นี้ไปลูกจะไม่ก่อเรื่องให้ท่านพ่อท่านแม่ต้องหนักใจอีกแล้วเจ้าค่ะ”
“ดี...ในเมื่อเจ้าลงแรงมาถึงเพียงนี้ ก็ถือว่ามีเหตุผล ครานี้ไปเตรียมตัวสำหรับงานวิวาห์ในอีกสามวันข้างหน้าเถิด เรื่องเช่นนี้จะพลาดมิได้อีกแล้ว หลิวเซียนหาใช่บุรุษธรรมดาไม่ เขาเป็นถึงสหายสนิทของฮ่องเต้ อีกทั้งตระกูลหลิวก็มิใช่ตระกูลเล็กน้อย หากครั้งนี้เจ้าก่อความอับอายขึ้นอีก บิดาย่อมมิอาจคุ้มกะลาหัวเจ้าได้อีกต่อไป”
“เจ้าค่ะ…” เสียงตอบรับหลุดจากริมฝีปากอวี้เฟยแผ่วเบาคล้ายยอมจำนน หากแต่แท้จริงในห้วงลึกของจิตใจหนิงซินกลับปฏิญาณมั่น ต่อฟ้าดิน ต่อโชคชะตาว่าครานี้นางจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมากำหนดชีวิตนางได้อีกต่อไป
ยามค่ำคืนอันเยียบเย็น แสงจันทราเต็มดวงคลี่ย้อมพื้นหินในสวนให้ขาวนวล สายลมพัดผ่านใบไม้ดังหวีดหวิว คล้ายจะกระซิบบอกอะไรบางอย่าง
“คุณหนู ท่านจะไปไหนเจ้าคะ”
หลู่เจินเอ่ยถามขึ้นเมื่อนางเดินไปเรื่อยเปื่อยอย่างคนสติเลื่อนลอยคล้ายยังมีอะไรหนักใจที่ยังไม่คลี่คลาย“ข้าเพียงอยากออกมาเดินเล่น เจ้าไม่ต้องตามมาหรอก”“แต่…หากคุณหนูเป็นอะไรไป บ่าวคงถูกหวายลงหลังแน่”“ข้าไม่ไปไหนหรอก เจ้ากลับไปพักเถอะ ข้าอยู่เพียงลำพังได้”
ร่างบางในอาภรณ์สีชมพูอ่อนยืนเหม่อมองจันทร์กลางสวนเงียบๆ ภายในใจหาได้นิ่งสงบคล้ายคลื่นใต้น้ำที่สั่นสะท้านไม่หยุด
“เหตุใด…ทุกอย่างจึงดูง่ายดายเกินไปกัน มันเหมือนกับว่าเรื่องนี้ยังไม่จบเพียงเท่านี้”
“อวี้เฟย…”
เสียงทุ้มดังขึ้นท่ามกลางความมืด วิชาตัวเบาของผู้มาเยือนล้ำเลิศนัก จนกระทั่งแม้แต่เสียงฝีเท้ายังเงียบสนิท ถ้าเป็นศัตรูลอบเข้ามาเธอคงตายไปแล้ว
หนิงซินเงยหน้าขึ้นสบตาพอรู้ว่าเป็นใครเท่านั้น
นั่นไงตัวปัญหามาแล้ว หนิงซินสบถในใจเบา ๆ
ผู้มาเยือนคืออ๋องเย่หมิงหยวน!
“ท่าน!”
ชายหนุ่มก้าวออกมาจากความมืด ดวงตาแดงก่ำวาวโรจน์ เสี้ยวหน้าคมคายใต้แสงจันทร์ยิ่งเพิ่มความน่าเกรงขาม
“ข้าจะพาเจ้าไป”
“ไป…ที่ใดหรือเจ้าคะ ท่านอ๋อง…”
“หนีไปกับข้า ข้ามิยอมเสียเจ้าให้หลิวเซียนเด็ดขาด!”
หนิงซินขมวดคิ้วแน่น กลิ่นสุราหนักอึ้งลอยอบอวลรอบกายเขา
“ท่าน…เมา”
“ไปกับข้า ได้โปรด”
“ไม่! ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น ข้ามิได้อยากอยู่ท่าน”
เย่หมิงหยวนกัดฟันกรอด แววตาแดงก่ำจากทั้งสุราทับถมด้วยความเจ็บปวด
“เจ้าพูดออกมาเช่นนั้น…เจ้าอยากให้ข้าเสียสติไปเลยหรืออวี้เฟย!”
เขาก้าวพรวดเข้ามา มือหนาคว้าแขนเล็กไว้แน่น แม้หญิงสาวจะพยายามสะบัดออก แต่แรงบุรุษย่อมเหนือกว่า“ต่อให้เจ้าปฏิเสธ ข้าก็จะไม่ยอมปล่อยเจ้าไป!”
“ปล่อยนะท่านอ๋อง! ข้าไม่ใช่ของท่านอีกต่อไปแล้ว”“ไม่ใช่ของข้า? ฮึ! ต่อให้เจ้าเอ่ยคำนี้อีกพันครั้ง ข้าก็ไม่มีวันเชื่อ…เจ้าเป็นของข้ามาตลอด และจะเป็นของข้าเพียงผู้เดียว”
แรงฉุดดึงเอาแต่ใจบีบคั้นจนร่างบางเซถลาเข้ากับอกแกร่ง กลิ่นสุราอบอวลชวนให้หายใจไม่ทั่วท้อง แต่สิ่งที่ทำให้หนิงซินใจเต้นระรัวกลับไม่ใช่แค่ความหวาดหวั่น แต่คือแรงปรารถนาที่ซ่อนอยู่ในแววตาของเขา
“ไปกับข้า…ไม่ว่าเจ้าอยากหรือไม่ ข้าก็จะไม่ยอมเสียเจ้าให้ชายอื่น!”
ดวงตาที่เต็มไปด้วยสุราและความปรารถนาเพ่งมองนางไม่คลาดเคลื่อน อวี้เฟยเบิกตากว้าง หัวใจสั่นสะท้าน ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง ภาพถูกกลืนหายไปพร้อมกับสติอันมืดมิดของนาง