หลิวเซียนมาช้าไปเพียงก้าวเดียว…ทั้งที่เขาระแวดระวังและคาดเดาไว้แล้วแท้ ๆ ว่าคืนนี้เย่หมิงหยวนจะต้องลงมือทำอะไรบางอย่างแน่
“ข้าเตือนเจ้าแล้ว ว่าอย่าให้คลาดสายตา คืนนี้หมิงหยวนต้องทำอะไรสักอย่างแน่ ไม่มีทางที่คนผู้นั้นจะยอมเสียอวี้เฟยไปได้ง่าย ๆ”น้ำเสียงเย็นเฉียบของหลิวเซียนกดต่ำ ขณะหันไปตำหนิองครักษ์คู่ใจ
“ข้าประมาทเอง คิดว่าในจวนเสนาบดี ท่านอ๋อง…จะไม่กล้าทำ”องครักษ์ตอบเสียงสั่นอย่างน้อมรับความผิดพลาด
“เขาเมามาย ไร้สติ…รู้อย่างนี้วันนี้ข้าคงไม่ไปหารือกับฮ่องเต้หรอก”หลิวเซียนกัดฟันกรอด ก่อนออกคำสั่งทันที“รีบตามไป อย่าให้ผู้ใดแตกตื่น”
“ขอรับคุณชาย”
ดวงตาคมแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวดั่งเหล็กกล้าที่ลึกเกินจะหยั่ง“อวี้เฟย…เจ้าถูกฉุดไป หรือว่าเจ้ายินยอมไปกับเขาง่าย ๆ กันแน่”
ความจริงคือ ตั้งแต่แรกเขาไม่เคยไว้ใจผู้ใด แม้กระทั่งนางเอง หญิงสาวที่เคยบอกว่าเกลียดเขานักหนา แต่แล้วกลับหันมาบอกว่ารักและภักดีต่อเขาเพียงผู้เดียว เรื่องเช่นนั้น…ใครเล่าจะเชื่อได้ง่ายดาย
อีกทั้ง อ๋องเย่ก็ใช่ว่าจะเป็นคนที่ไว้ใจได้ เขาเป็นถึงพี่ชายร่วมสายโลหิตของฮ่องเต้ แต่กลับยืนอยู่ตรงข้ามกับราชสำนักมาโดยตลอด สองคนนั้น…อาจสมรู้ร่วมคิดกันก็เป็นได้
ทว่า
ต่อให้ความจริงจะเป็นเช่นไร สำหรับเขาแล้ว หลินอวี้เฟย…ยังคงเป็นสตรีหนึ่งเดียวที่เขาปรารถนาจะปกป้องด้วยชีวิตอยู่ดี
เรือนรับรองริมน้ำของอ๋องเย่หมิงหยวนกลิ่นสุราผสมกลิ่นยาสูบคลุ้งอับทั่วห้อง ประตูบานใหญ่ถูกปิดลงสนิท เสียงยามเดินลาดตระเวนอยู่ภายนอกดังสม่ำเสมอประหนึ่งกำแพงเหล็กกั้นทางหนีทีไล่
“ท่านบ้าไปแล้วหรือ! จับตัวข้ามาเช่นนี้…ด้วยเหตุใดกัน!”หนิงซินดิ้นรนสุดกำลัง ดวงตาวาววับทั้งโกรธทั้งหวาดหวั่น
เย่หมิงหยวนโน้มตัวลง ใบหน้าหล่อเหลาหม่นหมองปกคลุมด้วยความเจ็บปวดและแรงปรารถนา“ข้าไม่อยากเสียเจ้าไป…อวี้เฟย ข้ารักเจ้า”
ริมฝีปากเขาเอื้อนเอ่ยด้วยเสียงพร่ากระซิบ แต่กลับกดร่างบางแนบกับฟูกนุ่มใต้ร่าง เส้นผมดำขลับของนางกระจายราวกับหมึกหก ความอึดอัดถาโถมจนหายใจไม่ทั่วปอด
“ปล่อยข้า! เย่หมิงหยวน ท่านเมามายไร้สติไปแล้ว!”
เขากลับส่ายหน้าแน่วแน่ ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง ภายนอก…เงาทหารภายนอกยืนตรึงแน่นหนา ทุกย่างก้าวของผู้ใดที่พยายามเข้าใกล้เรือนล้วนถูกสกัดกั้น หนิงซินกัดฟันแน่น ได้แต่ภาวนาว่า
หลิวเซียน…ช่วยข้าด้วย!
“ข้าไม่ได้รักท่าน!” หนิงซินตวัดเสียง ดวงตาสั่นระริกทว่าหนักแน่น
“ข้ารักหลิวเซียน”
เย่หมิงหยวนชะงักราวกับถูกฟ้าผ่า ร่างสูงแข็งทื่อ มือที่กักนางไว้เหนือฟูกสั่นสะท้าน
“เพราะเหตุใดกัน…เหตุใดเจ้าถึงเปลี่ยนใจไปเช่นนั้น อวี้เฟย…”
ริมฝีปากบางเม้มแน่น ก่อนคลายออกด้วยคำตอบที่เฉือนลึกลงกลางดวงใจบุรุษเช่นเขา
“เมียของท่านอยู่เต็มจวน…อนุ กี่คน ข้าต้องแบ่งหัวใจท่านกับสตรีพวกนั้นอีกกี่หนเล่า? แล้วจะให้ข้าไปอยู่ส่วนใดของเรือนท่าน บอกมาสิ เย่หมิงหยวน!”
“แต่ว่า...” เสียงของเขาแหบพร่า ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “แต่ข้าเป็นถึงอ๋อง มีเมียมากมายก็เป็นเรื่องธรรมดา! ใต้หล้าล้วนเข้าใจในข้อนี้”
นางแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา น้ำตาคลอเบ้าแต่กลับเด็ดเดี่ยว
“ก็ใช่สิ…เพราะท่านเป็นอ๋องนี่เอง เพราะเช่นนั้น…ท่านถึงไม่เคยเห็นค่าความรักอย่างแท้จริงเลย”
“ข้ารักเจ้า นี่คือเรื่องจริงจากใจ” เสียงทุ้มสั่นพร่าของเย่หมิงหยวนแทบจะอ้อนวอน ดวงตาคมที่เคยแฝงอำนาจกลับสั่นระริกอย่างน่าเวทนา
หนิงซินจ้องตอบด้วยแววตาเย็นชา “ต้องให้ข้าบอกกี่ครั้งว่าข้าไม่ได้รักท่าน”
คำตอบสั้น ๆ แต่ราวกับหอกที่พุ่งตรงลงมากลางอก ใบหน้าอ๋องหนุ่มซีดเผือดไปทันตา หัวใจเหมือนถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ ร่างสูงใหญ่ที่เคยมั่นคงกลับไร้เรี่ยวแรงในพริบตา
“เหตุใดเล่า อวี้เฟย…เหตุใดกัน”
นางหันหน้าหนี น้ำเสียงเฉียบขาดภายในใจก็สงสารพระเอกในนิยายคนนี้อยู่ไม่น้อย แต่..สิ่งที่นางเอกอย่างอวี้เฟยได้รับสาหัสเช่นกัน
ดังนั้น ต่อให้เป็นตายร้ายดีเช่นไร หนิงซินก็จะไม่มีวันให้เขาได้สมหวัง
“เพราะท่านไม่เคยรู้จักความรักที่แท้จริงยังไงเล่า เย่หมิงหยวน”
“ได้…งั้นลองดู หากคืนนี้เจ้าตกเป็นของข้าแล้ว เจ้าไท่จื้อหลิวเซียนมันยังจะอยากได้เจ้าอีกหรือไม่!”
คำประกาศกร้าวนั้นดังก้องไปทั้งห้อง นัยน์ตาของเย่หมิงหยวนแดงก่ำราวกับสัตว์บาดเจ็บที่พร้อมกัดทุกสิ่งเพื่อรักษาของรัก
“ท่าน…บ้าไปแล้ว!” หนิงซินดิ้นสุดแรง เสียงสั่นสะท้านด้วยทั้งโกรธและหวาดหวั่น
ในจังหวะที่เงื้อมมือของเขากำลังจะกดทับลงมา
ผลัวะ!เสียงประตูถูกถีบกระแทกดังลั่น!
หลิวเซียนก้าวเข้ามา ใบหน้าคมดุดัน ดวงตาสาดประกายเย็นเยียบราวกับคมดาบ
“หมิงหยวน! เจ้าได้กลายเป็นคนเช่นนี้ไปแล้วหรือ”
หนิงซินได้จังหวะที่เย่หมิงหยวนเผลอผงะ นางรีบออกแรงผลักร่างสูงเต็มกำลังจนเขาเสียหลักถอยไปสองก้าว แล้วฉวยโอกาสนั้นวิ่งพรวดไปหลบหลังหลิวเซียน ร่างบางสั่นสะท้าน แต่ดวงตากลับเปล่งประกายวาววับด้วยทั้งความกลัวและความโล่งใจ
“หลิวเซียน…” เสียงนางสั่นพร่า คล้ายร้องไห้แต่แฝงด้วยความดีใจอย่างยิ่งที่เขามาทัน
ชายหนุ่มก้าวยืนขวางร่างนางไว้เต็มตัว แผ่นหลังกว้างเป็นดั่งกำแพงมั่นคง
“ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว”
คมดาบยังคงสะท้อนประกายแสงจันทร์ หลิวเซียนกำมือแน่น ดวงตาแฝงความกรุ่นโกรธ
“อย่า!” หนิงซินวิ่งเข้าไปขวางเอาไว้
“อย่าทำร้ายเขา”
“อวี้เฟยหลีกไป”
“อวี้เฟย เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เขาพยายามจะฉุดเจ้าไปต่อหน้าต่อตาข้า!”
หนิงซินหันกลับไปสบตาเขา ดวงตากลมโตวาววับด้วยความจริงใจ
“ข้ารู้… แต่การฆ่าฟันกันไม่ใช่วิธีแก้ไข ข้าไม่อยากให้เลือดต้องตกต้องดินเพราะเรื่องของข้า”
คำพูดนั้นทำเอาหลิวเซียนชะงักไปเพียงครู่ ใจที่แข็งกร้าวพลันอ่อนลง แต่ยังไม่ทันได้ตอบ เย่หมิงหยวนก็หัวเราะเย็นเยียบ เสียงเต็มไปด้วยความประชดประชัน
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าพูดว่าไม่รักข้า แต่เจ้าก็ยังยอมเสี่ยงตายปกป้องข้าเช่นนี้ อวี้เฟย เจ้าหนีหัวใจของตัวเองไม่พ้นหรอก”
“หมิงหยวน!” หลิวเซียนคำรามเสียงต่ำ ดาบในมือสั่นระริกเพราะแรงกดอารมณ์
“หากไม่ใช่เพราะนางขวาง ข้าจะตัดลิ้นเจ้าซะเดี๋ยวนี้!”
หนิงซินรีบยกมือขึ้นกั้นทั้งสองไว้
“พอเถิด! พวกท่านต่างเป็นบุรุษสูงศักดิ์ หากคืนนี้กลายเป็นเรื่องอื้อฉาว วันพรุ่งนี้จะเหลือเกียรติอะไรให้ตระกูลของพวกท่านอีกเล่า!”
บรรยากาศเงียบงันลงชั่วขณะ มีเพียงเสียงลมหายใจหนักหน่วงของบุรุษทั้งสองที่ดังแข่งกันราวกับเสียงคำรามของสัตว์ป่า