สวีสิฮัน...เด็กสาวที่ดูเหมือนจะเพียบพร้อมในสายตาใครหลายคนเธอคือหนึ่งในนักเรียนแถวหน้าของโรงเรียนที่มักจะได้รับคำชมอยู่เสมอว่า “เก่งที่สุด” “ฉลาดที่สุด” และ “น่าจะมีอนาคตไกล”
...แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า เบื้องหลังเกรด A+ เหล่านั้น เธอต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง
เธอถูกบังคับให้อ่านหนังสือทุกวัน...ไม่ใช่เพราะอยากรู้ ไม่ใช่เพราะชอบเรียน...แต่เพราะ "กลัว" ว่าจะไม่ดีพอในสายตาของพ่อ
ทุกการสอบคือสนามรบ
ทุกคะแนนคือเดิมพัน
ทุกวันคือการเดินอยู่บนปลายมีด
สวีสิฮันต้องแบกรับความกดดันที่ไม่สมควรมีในวัยเด็ก
ทุกค่ำคืน เธอต้องอ่านหนังสือจนตาแดงก่ำ
เพียงเพื่อให้แน่ใจว่า เธอจะสอบติดมหาวิทยาลัยดังให้ได้ และอาจจะ…ได้เป็น “อิสระ” เสียที
ท่ามกลางเส้นทางที่อ้างว้างและกดดันนั้น มีเพียงหนึ่งคน...ที่เดินเคียงข้างเธอเสมอ
...นั่นคือโม่โฉว
เขาเริ่มตั้งเป้าหมายตั้งแต่ยังเด็ก…ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อจะ “ได้อยู่ข้างเธอ” ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน
เขาพยายามอย่างเงียบ ๆ เรียนเสริม ขวนขวาย ไล่ตามเธอไปทุกก้าว จนวันหนึ่งเขาก็เริ่ม “โดดเด่น” ขึ้นมา ไม่ใช่แค่ในสายตาครู แต่ในสายตาเพื่อนทั้งโรงเรียน
เขามีกลุ่มเพื่อน มีแก๊งของตัวเอง มีสาว ๆ มากมายที่แอบชอบเขา แต่เขากลับไม่เคยสนใจใครเลย...นอกจากเธอ
เพราะเขารู้ดีว่า
“ถ้าเขาไม่อยู่ตรงนั้น...เธออาจจะไม่มีใครเลยจริง ๆ”
สำหรับโม่โฉวแล้ว เธอไม่ใช่แค่เด็กผู้หญิงที่เคยร้องไห้ใต้เครื่องเล่นอีกต่อไป...เธอกลายเป็นคนที่เขา “อยากปกป้อง” ไปตลอดชีวิต
เขาไม่รู้เลยว่า ความรู้สึกที่มี เริ่มต้นจาก “ความสงสาร” เมื่อไหร่ กลายเป็น “ความชอบ” เมื่อไร รู้เพียงว่า ทุกครั้งที่เห็นเธอเหนื่อย เศร้า หรือเจ็บปวด ใจของเขาก็ปวดไปด้วย
และเขาได้สัญญากับตัวเองเงียบ ๆ ไว้ว่า
“ถ้าเขาสอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกับเธอได้...เขาจะสารภาพรักกับเธอ”
และแล้ว...วันนั้นก็มาถึง
วันที่ทั้งเธอและเขาสอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกัน มหาวิทยาลัยในฝันที่เขาไล่ตามเธอมาทั้งชีวิต
ณ วันเปิดภาคเรียน วันรับน้องใหม่
เสียงเพลงจากรุ่นพี่บนเวทีลอยแว่วไปทั่วสนามกว้าง ทำนองนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งวัยเยาว์ ความฝัน และอิสรภาพ นักศึกษานับร้อยนั่งฟังอย่างตั้งใจ เสียงเพลงกล่อมให้หัวใจของใครหลายคนเคลิ้มฝันไปพร้อมกัน
รวมถึง...สวีสิฮัน
เด็กสาวที่เคยอยู่ในโลกแคบ ๆ ซึ่งถูกตีกรอบด้วยความกลัว วันนี้ เธอได้นั่งอยู่ท่ามกลางเพื่อนใหม่ รอยยิ้มที่เคยหายไป...กลับมาอีกครั้ง เธอดูร่าเริงขึ้น เหมือนคนที่เพิ่งได้ “หายใจเต็มปอด” เป็นครั้งแรกในชีวิต ใบหน้าที่เคยหม่นหมองเพราะพันธนาการของพ่อ กลับสว่างสดใส เสียงหัวเราะของเธอดังเคล้ากับเสียงเพื่อน ๆ ที่รายล้อม
โม่โฉวยืนมองภาพนั้นอยู่ห่าง ๆ...เงียบ ๆ
เขาไม่ได้เข้าไปทัก ไม่ได้แทรกเข้าไปในกลุ่ม ไม่ได้ดึงความสนใจใด ๆ
แต่เขากลับยิ้มได้...ยิ้มกว้างกว่าครั้งไหน ๆ
เพราะแค่เห็นเธอ “เป็นอิสระ”...มันก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว
แต่แล้ว...สายตาของโม่โฉวก็พลันสะดุดเข้ากับ “บางคน”
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากกลุ่มของสวีสิฮัน เขานั่งยิ้มมุมปาก ทอดสายตาแน่วนิ่งไปยังเธอ ราวกับจ้องมองสิ่งสวยงามที่อยากครอบครอง
แม้เพียงเสี้ยววินาที แต่โม่โฉวสัมผัสได้ถึงบางอย่างในแววตานั้น
...ความรู้สึกแอบชอบ
เขายืนนิ่ง มองทุกการเคลื่อนไหวของชายคนนั้นอย่างเงียบงัน ในอก...มีบางอย่างกำลังไหวสะเทือนเบา ๆ
และไม่นานนัก ชายคนนั้นก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินหายเข้าไปทางหลังเวที ไม่กี่อึดใจต่อมา เขาก็ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีในฐานะ "รุ่นพี่ฝ่ายจัดงาน"
เสียงซุบซิบดังขึ้นประปรายเมื่อเขาคว้าไมโครโฟน แต่เขากลับไม่สนใจใครทั้งสิ้น เขาสูดหายใจเข้า ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัด
“ผมมีเรื่องจะสารภาพครับ…ผมแอบชอบผู้หญิงคนหนึ่งมาตั้งแต่วันสอบสัมภาษณ์…และวันนี้ ผมขอใช้โอกาสนี้ บอกกับเธอว่า ผมอยากทำความรู้จักเธอให้มากกว่านี้ครับ...สวีสิฮัน!”
เสียงฮือฮาดังลั่นสนาม เสียงปรบมือ เสียงโห่แซวปะปนกันไป สวีสิฮันเบิกตากว้างเล็กน้อยจากความตกใจ เธอยิ้มน้อย ๆ อย่างประหม่า ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
ขณะที่โม่โฉวยืนนิ่งอยู่ในมุมเงียบ ๆ มือทั้งสองข้างกำแน่นโดยไม่รู้ตัว หัวใจเขาเต้นแรง...แต่ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้นแบบเดิมอีกต่อไป
ไม่ใช่แค่การ "ปกป้อง" อีกแล้ว
...นี่มันคือ “ศึกชิงใจ” ชัด ๆ
เพื่อน ๆ ที่ยืนอยู่ด้านหลังโม่โฉว ต่างพากันส่งเสียงโห่แซวเมื่อรุ่นพี่หนุ่มบนเวทีเอ่ยชื่อ "สวีสิฮัน" ออกมาต่อหน้าทุกคน
เสียงโฮ่ร้องดังสนั่นสนาม ดังกว่าเสียงเพลงใด ๆ ที่เคยเปิดมาก่อนหน้านี้เสียอีก
แต่ในจังหวะที่เสียงเหล่านั้นดังกระหึ่ม...มีเพียงคนเดียวที่นิ่งเงียบอยู่ในเงามืดของฝูงชน
โม่โฉว
เขากำหมัดแน่น หัวใจเต้นแรงด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก มันไม่ใช่แค่หึง แต่มันคือ...ความรู้สึกพ่ายแพ้ที่กัดกินลึกเข้าไปในอก
...และที่ทำให้เขาอึดอัดที่สุด คือสายตาของเติ้งหนิงเฉิง…เพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา
ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มมุมปากน้อย ๆยิ้มแบบที่ดูเหมือนเป็นกลางแต่ในแววตากลับแฝงไปด้วยบางอย่าง...บางอย่างที่โม่โฉวไม่เคยเห็นมาก่อน
เติ้งหนิงเฉิงไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มให้กับสวีสิฮันเงียบ ๆ ราวกับไม่มีอะไรในโลกนี้น่าแปลกใจเลย
...ใช่ เพราะเขารู้ว่า เขากับเธอเป็นคู่หมั้นกันตั้งแต่เด็ก...เรื่องที่ผู้ใหญ่กำหนดไว้ แม้พวกเขาจะไม่เคยพูดเรื่องนี้กับใคร แม้แต่โม่โฉว...เพื่อนสนิทที่สุดของเขา
และถึงแม้เขาจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอ...แต่เขาก็เลือกจะยิ้มให้เธอในเวลานั้น โดยไม่แม้แต่จะหันมามองเพื่อนที่ยืนกำหมัดอยู่ข้างหลัง
โม่โฉวหายใจเข้าแรง ๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินพรวดออกจากตรงนั้นโดยไม่พูดอะไร มุ่งหน้าไปยัง “ซุ้มแอลกอฮอล์” ที่อยู่ไม่ไกล
เสียงฝีเท้าหนักแน่นและแววตาแข็งกร้าว สะท้อนความรู้สึกที่กำลังปั่นป่วนในใจเขา
เมื่อเพื่อน ๆ เห็นดังนั้น พวกเขาก็พากันเดินตามไปอย่างงุนงง บางคนแซว บางคนถาม แต่เขากลับเงียบ ไม่พูดอะไรทั้งนั้น นอกจากยกแก้วแรกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด
ไม่นานนัก...
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากอีกมุมของสนาม โม่โฉวหันไป และพบว่า...รุ่นพี่คนนั้นเดินตรงมาที่ซุ้มแอลกอฮอล์ พร้อมกับสวีสิฮัน และเพื่อน ๆ ของเธอที่กำลังหัวเราะกันสนุกสนาน
...ภาพตรงหน้านั้น ยิ่งกว่าการย้ำว่าเขา “กลายเป็นคนนอก” ไปแล้ว