ความรู้สึกหนาวเย็นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง โมนารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมลงสู่ความมืดมิดที่ไร้จุดสิ้นสุด เสียงลมหวีดหวิวดังผ่านหู ลมหายใจของเธอเบาจนแทบสัมผัสไม่ได้ หัวใจเต้นช้าลงเรื่อย ๆ จนเธอคิดว่า...มันอาจจะหยุดแล้วก็ได้
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัว “ความเจ็บปวด ความทรมาน ความสิ้นหวัง เจ้าจะต้องชดใช้มันทั้งหมดแทนข้า”
ทันทีที่เสียงนั้นจบลง แสงสว่างจ้าอย่างรุนแรงก็พุ่งวาบเข้ามา โมนารู้สึกเหมือนตัวเองถูกผลักออกจากบางสิ่งอย่างแรง
เปลือกตาหนักอึ้งค่อย ๆ เปิดขึ้นช้า ๆ พร้อมกับแสงแดดอ่อนสาดส่องผ่านหน้าต่างไม้เข้ามา กลิ่นสมุนไพรบางอย่างลอยแตะจมูก เธอกะพริบตาถี่ ๆ ก่อนจะเพ่งมองไปรอบห้อง
‘ที่นี่...ที่ไหน?’ ห้องไม้เรียบง่ายขนาดพอเหมาะ บรรยากาศดูไม่ทันสมัยเอาเสียเลย โต๊ะไม้ตัวเล็กวางถ้วยยาไว้ และข้างเตียงมีชายหนุ่มในชุดจีนโบราณกำลังนั่งมองเธออย่างเงียบ ๆ ใบหน้าของเขาเรียบนิ่ง แต่ดวงตาคมคู่นั้นกลับเปี่ยมไปด้วยความหนักแน่น
โมนาพยายามจะขยับริมฝีปาก แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับแหบแห้ง
“ท่าน...คือ...ใคร?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้กว่าเดิม น้ำเสียงนิ่งขรึม
“เจ้าว่าอะไรนะ? ข้าไม่ได้ยิน” เธอไม่มีแรงจะพูดซ้ำ ร่างกายยังหนักอึ้งและอ่อนแรงเกินไป ดวงตาค่อย ๆ ปิดลงอีกครั้ง ความรู้สึกสุดท้ายก่อนจะหมดสติคือสัมผัสของผ้าห่มที่อุ่นขึ้นเล็กน้อย
...เธอหลับไปอีกครั้ง...
แอ๊ด...!
เสียงประตูถูกผลักเปิดออกอย่างช้า ๆ ไม่รู้ว่าเธอหลับไปนานแค่ไหน แต่ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น พร้อมกับฝีเท้าของใครบางคนที่ไม่คุ้นเคย -แตกต่างจากเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาของชายหนุ่มที่คอยป้อนยาให้เธอ- หัวใจก็เต้นระรัว
จู่ ๆ เธอก็ถูกกระชากตัวขึ้นอย่างแรง
“โอ๊ย...!!” เสียงร้องหลุดออกมาอย่างอดกลั้นไม่อยู่ ความเจ็บปวดแล่นแปลบไปทั่วทั้งร่าง
“เจ้าสมควรตาย หลี่เซี่ย! ต่อจากนี้...เจ้าไม่ใช่สหายของข้าอีกต่อไป!”
‘หลี่เซี่ย...? ใครคือหลี่เซี่ย...?’ เธอพึมพำในใจด้วยความสับสน ‘ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงเรียกฉันแบบนั้น...’
ดวงตาพร่ามัวพยายามเพ่งมองใบหน้าของชายตรงหน้า ในห้องที่มีเพียงแสงเทียนสลัว ๆ พอให้เห็นเสี้ยวหน้าคมคายที่ฉายแววโกรธจัด
เขาคือ หยางหมิง ชายหนุ่มวัยยี่สิบหกปี อ๋องแห่งแดนเหนือ พี่ชายร่วมสายเลือดของ หยางจื่อหาว และฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นคู่หมายของ สวีเสวีย หญิงสาวที่ตระกูลเพิ่งถูกหลี่เซี่ยล้างผลาญจนสิ้น
เธอฝืนเปล่งเสียงแผ่วเบา
“คุณเป็นใครคะ...แล้วหลี่เซี่ยคือใคร?”
คำถามของหญิงสาวตรงหน้าทำให้หยางหมิงขมวดคิ้วแน่น ความโกรธพลุ่งพล่านอีกครั้งจนแทบควบคุมไม่อยู่ หากไม่ใช่น้องชายที่ขอร้องไว้ มีหรือที่เขาจะยอมปล่อยหลี่เซี่ยไว้เช่นนี้
“เพิ่งสังหารล้างตระกูลสวีไป...กลับทำทีเป็นลืมเลือนหรือ หลี่เซี่ย! เจ้านั้นช่าง...ข้าควรจะปล่อยเจ้าให้ตายข้างทางเสียแต่แรก!”
หยางหมิงยืนนิ่งอยู่ข้างเตียง แววตาคมกริบจับจ้องร่างที่นอนอยู่เบื้องหน้าอย่างละเอียด ลึกในสายตานั้นมีทั้งความแปลกใจและผิดหวัง เขามองชายที่เคยเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย ผู้เคยวางแผนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขามานักต่อนัก แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับมองเขาด้วยสายตาแปลกหน้า…สายตาที่เต็มไปด้วยความงุนงงราวกับไม่รู้จักกัน
“เจ้าไม่รู้จักข้าแล้วหรือ...หลี่เซี่ย?” หยางหมิงถามย้ำ เสียงของเขาเย็นเยียบ แต่แฝงไว้ด้วยความผิดหวังที่ยากจะซ่อน สีหน้าของเขายังคงนิ่ง ทว่าในดวงตาสะท้อนความรู้สึกปั่นป่วน
เขามองใบหน้าซีดเซียวของคนที่เคยมั่นใจนักหนา มองข้อมือข้อเท้าที่มีรอยแดงจากเชือกมัด ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาสะดุดที่สุดคือดวงตาคู่นั้น...ดวงตาที่เคยเจ้าเล่ห์นัก บัดนี้กลับว่างเปล่าและแฝงด้วยความมึนงง
“หลี่เซี่ย…” เขาเรียกชื่ออีกครั้งเบา ๆ
สายตากวาดมองตั้งแต่เส้นผมกระเซิง ร่างกายที่อ่อนแรง ไปจนถึงดวงตาที่จืดจางจากความมั่นใจทั้งหมดทั้งมวล
“อย่าทำเป็นลืมเลย หลี่เซี่ย…ต่อจากนี้ ข้าจะไม่เชื่อใจเจ้าอีกต่อไป” น้ำเสียงของเขาเย้ยหยัน รอยยิ้มบางบนริมฝีปากเต็มไปด้วยความขมขื่น ทว่าลึกในแววตานั้นกลับเผยความรู้สึกบางอย่างที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อยากยอมรับ -ความกังวล และความห่วงใยที่ไม่เคยแสดงออก
หลี่เซี่ยพยายามฝืนร่างให้ลุกขึ้น แต่ทุกการเคลื่อนไหวกลับราวกับมีมีดกรีดลึกเข้ากล้ามเนื้อ แววตาเริ่มพร่ามัว เธอเห็นเพียงเงาร่างสูงของหยางหมิงที่ยืนอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของเขาเย็นชา ดวงตาเปี่ยมด้วยความไม่เข้าใจ
“ข้าถามเจ้า...เจ้าได้ยินหรือไม่?” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอีกครั้ง แต่ประโยคนั้นเลือนรางเกือบเป็นเพียงเสียงกระซิบ ร่างกายของหล่อนอ่อนแรงจนแทบลืมตาไม่ขึ้น เสียงหายใจของเธอแผ่วเบา ก่อนที่ความมืดมิดจะเข้าครอบคลุมอีกครั้ง
...แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น...
“ท่านพี่ อย่าทำหลี่น้อยเลยพะย่ะค่ะ!” เสียงของหยางจื่อหาวดังแทรกเข้ามา ก่อนที่เงาร่างของเขาจะวิ่งตรงเข้ามาทางประตู
สามวันต่อมา
แสงแดดยามเช้าสาดลอดผ่านผ้าม่านบาง ๆ เข้ามาในห้อง แสงอุ่นกระทบใบหน้าคมคายราวกับสลักจากหินอ่อน เปลือกตาที่ปิดสนิทกระพริบเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เปิดออก เผยให้เห็นดวงตาสีดำลุ่มลึกที่สะท้อนทั้งความสับสนและความเจ็บปวดที่ฝังแน่นอยู่ในใจ
ลำคอแห้งผากจนแทบเปล่งเสียงไม่ได้ หลี่เซี่ยพึมพำออกมาเบา ๆ
“หิวน้ำจัง…”เธอพยายามยกมือขึ้นแตะริมฝีปากแห้งผาก แต่ร่างกายกลับไม่ขยับอย่างที่ใจต้องการ
...แอดดด...!!
เสียงประตูเปิดขึ้น ฝีเท้าเบา ๆ เดินเข้ามาใกล้ เธอลืมตามอง เห็นเพียงเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ข้างเตียง แสงจากหน้าต่างทำให้มองเห็นได้เพียงราง ๆ ไม่อาจจับภาพใบหน้าได้ชัด
“อยากดื่มน้ำหรือ...หากอยากดื่มก็มาหยิบเอาเองสิ...” เสียงเย็นชาดังขึ้น เป็นเสียงของสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ของสวีเสวีย
น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ราวกับพายุอารมณ์ที่เก็บกดไว้กำลังพวยพุ่งออกมา
“เจ้าทำลายตระกูลสวี ทำให้คุณหนูของข้าต้องโดนพิษจนยังไม่ฟื้น แล้วดูเจ้าสิ...เจ้ากลับฟื้นเร็วกว่าคุณหนูของข้า!”เธอยืนนิ่ง ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“ขอโทษ...ฉัน...ไม่เข้าใจ...ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” โมนาพึมพำเสียงแผ่ว คำถามมากมายพลุ่งพล่านในหัว
สาวใช้ของสวีเสวียจ้องมองด้วยสายตาแข็งกร้าวและเย็นชา ราวกับคำพูดที่หล่อนจะกล่าวต่อไปคือดาบที่พร้อมแทงลงกลางใจ
“หลี่เซี่ย...เจ้ามันร้ายกาจนัก ทำสิ่งใดไว้ก็ยังไม่ยอมรับ เจ้าฆ่าล้างตระกูลสวี แล้วยังวางยาคุณหนูของข้าอีก! หากมิใช่เพราะท่านอ๋องขอไว้ เจ้าคงนอนอยู่ในหลุมไปแล้ว!”
สิ้นประโยค น้ำตาเริ่มคลอเบ้า เธอปาดหยดน้ำตาที่ไหลลงแก้มอย่างรวดเร็ว แล้วหมุนกายเดินจากไป
โมนายังคงนอนนิ่ง ไม่อาจหาคำอธิบายให้กับสิ่งที่ได้ยิน
“หลี่เซี่ย...อีกแล้ว” เธอพึมพำ ชื่อที่คุ้นเคยแต่ไม่ใช่ของเธอกลับดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“แสดงว่าผู้ชายที่เห็นเมื่อคืน...ไม่ใช่ความฝัน?” เธอเริ่มเชื่อว่าทุกอย่างไม่ใช่ภาพลวง ภาพของชายผู้นั้นลอยกลับเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง เสียงในหัวดังก้อง
“เจ้าไปชดใช้แทนข้า...” เสียงนั้นยังคงหลอกหลอนอยู่ในใจ
แม้เพียงแค่การลืมตา ทุกสิ่งก็ดูพร่าเลือน ใบหน้าและเสียงของคนรอบข้างไม่มีสิ่งใดคุ้นเคย
“เกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่?” คำถามนั้นยังคงวนเวียนไม่หยุด เธอเหมือนตกอยู่ในความฝันอันดำมืด และยังหาทางออกไม่เจอ...