หลังจากที่ทุกคนถูกล่ามด้วยโซ่ พวกเขาก็ถูกลากออกจากจวนของหลี่เซี่ยอย่างรวดเร็ว ไม่มีคำพูด ไม่มีการโต้ตอบใดๆ มีเพียงเสียงฝีเท้าของทหารกระทบพื้นหินสลับกับเสียงโซ่เหล็กที่กระทบกันเป็นจังหวะ ราวกับไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งการเดินทางครั้งนี้ได้
ชายที่ยืนอยู่ข้างหน้า -หยางจื่อหาว- มองหลี่เซี่ยด้วยสายตาเย็นชา สายตานั้นควรจะไร้ความรู้สึก แต่ลึกลงไปกลับแฝงไว้ด้วยแววของความสงสารและห่วงใยบางอย่าง... บางอย่างที่หล่อนเองก็ไม่เข้าใจ ทำไมเขาถึงมองหล่อนเช่นนั้น? เขาควรจะเกลียดหล่อนสิ- คนที่ทำให้แคว้นสั่นสะเทือน คนที่ทุกผู้คนต่างสาปแช่ง
ทว่าทุกอย่างดูเหมือนจะหลุดจากมือเธอไปหมดแล้ว โลกกำลังเคลื่อนไปในทางที่เธอไม่อาจควบคุมได้
เมื่อขบวนเดินผ่านย่านเมือง ผู้คนพากันปาก้อนหิน เศษผัก และไข่ใส่พวกเขา เสียงสาปแช่งดังก้องหัวใจ หินก้อนหนึ่งฟาดเข้าที่ขมับของหลี่เซี่ย เลือดไหลซึมลงมาผ่านกรอบหน้า เธอไม่ได้ร้อง ไม่ได้ปัดป้อง แค่ก้มหน้าก้มตายอมรับมัน เหมือนคนที่รู้ตัวว่ากำลังเดินผ่านแดนนรกโดยไม่มีสิทธิ์โต้แย้งใดๆ
เมื่อเดินพ้นประตูเมือง ตัวของพวกเขาเปียกชุ่มไปด้วยเศษซากที่เละเทะ ทั้งกลิ่นเหม็นและความเหนียวเหนอะหนะเกาะติดจนแทบหายใจไม่ออก เสียงฝีเท้าของพวกเขากระทบกับพื้นหินเปียกแฉะจากฝนเมื่อเช้า ราวกับว่าแม้แต่ฟ้าดินก็ไม่อาจล้างบาปที่ติดตัวพวกเขา
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงทุ้มของหยางจื่อหาวก็ดังขึ้น
“หยุดพักตรงนี้ก่อน...” เขาเอ่ยเสียงหนักแน่น ทว่าแฝงความอ่อนโยนบางอย่างไว้
หลี่เซี่ยหยุดฝีเท้าเช่นเดียวกับทหารคนอื่นๆ ร่างของเธอยังคงมึนงง มือไม้หนักอึ้งและสั่นไหว เธอพยายามจะยืนตัวตรง แต่โลกกลับหมุนวน เสี้ยววินาทีก่อนจะล้มลงไป เขาก้าวเข้ามาใกล้ -หยางจื่อหาว
เขาชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพเธอ ดวงตาเรียบนิ่งแต่มองลึกเข้าไปในดวงวิญญาณหล่อน
“ข้าไม่ต้องการให้เจ้าเป็นภาระ” เขากล่าว น้ำเสียงนั้นแม้จะยังคงเย็นชา แต่แววตา...แววตากลับพูดในสิ่งที่เขาไม่กล้าพูดออกมา
หลี่เซี่ยสบตาเขา เธอไม่รู้ว่าทำไมใจถึงสั่นวูบ ไม่รู้ว่าทำไมคำพูดนี้ถึงทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกปลอบใจ ไม่ใช่แค่ถูกตัดสินโทษ
“ขอบคุณ...” หล่อนพูดเสียงแผ่ว รู้ดีว่าไม่มีสิ่งใดแน่นอนในชะตากรรมนี้ แต่เพียงการได้หยุดพัก...แค่นั้นก็เพียงพอแล้วในตอนนี้
ณ ชายแดนใต้
แสงแดดยามสายส่องลอดหมอกเบาบาง ทอดเงาบนสนามหญ้าหน้าประตูเมืองแดนใต้ หยางจื่อหาวนั่งตัวตรงอยู่บนหลังม้าดำสง่า ร่างสูงใหญ่ในชุดแม่ทัพปลิวไสวตามสายลม ดวงตาแน่วนิ่งแต่ลึกซึ้งเกินอ่านออก ทหารยามสองฝั่งประตูต่างยืนตรงเงียบงัน สายตาทุกคู่จับจ้องเจ้านายของตนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
การกลับมาครั้งนี้...ต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา
ไม่ใช่การกลับมาพร้อมชัยชนะ
ไม่ใช่เสียงโห่ร้องของผู้คนที่รอคอยวีรบุรุษ
หากแต่เป็นการกลับมาของคนผู้หนึ่ง
...ผู้เคยรุ่งเรือง และกำลังมุ่งหน้าสู่บทลงโทษ
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง หลี่เซี่ยในชุดผ้าเนื้อหยาบ เดินเชื่องช้าท่ามกลางสายตาของทหารทั้งเมือง ร่างสูงผอมลงอย่างเห็นได้ชัด บาดแผลเก่าที่ยังไม่ทันสมานดี ทำให้ทุกย่างก้าวของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ดวงตากลับยังไม่สิ้นแววสงบนิ่ง
เขาชะงักเล็กน้อยขณะเงยหน้ามองรอบเมือง
ไม่คุ้นเคย ไม่คุ้นตา
...ราวกับไม่เคยเหยียบย่างแดนใต้มาก่อนเลยสักครา
ย้อนกลับไปในวันที่เกิดเหตุ...
วันนั้น ฟ้ามืดหม่นราวกับกาลจะเปลี่ยน หมอกขาวลอยปกคลุมทั่วฟ้าแดนใต้ อากาศเต็มไปด้วยความกดดันแปลกประหลาด
หยางจื่อหาวยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์เหนือป้อม กำลังมองดูแนวป่าเขาทางตะวันออกอย่างเงียบงัน ก่อนเสียงฝีเท้าทหารคนสนิทจะเร่งเข้ามาจนเสียงดังชัดในความเงียบ
"ท่านแม่ทัพ! ขออภัยที่รบกวน...แต่มีข่าวด่วนเกี่ยวกับแม่ทัพหลี่เซี่ยขอรับ!"
หยางจื่อหาวหันขวับ ดวงตาฉายแววตื่น
"ว่าอย่างไร?"
ทหารหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ สูดหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนเอ่ยเสียงเคร่ง
"เขา...ลอบโจมตีตระกูลสวีในเมืองหลวง ขุนนางกล่าวหาว่าเป็นการล้างแค้น แต่มิได้มีผู้ใดรู้เบื้องหลัง -หรือแรงจูงใจใดเลยขอรับ"
คำพูดนั้นดั่งสายฟ้าฟาดกลางอก
หยางจื่อหาวนิ่งไป ดวงหน้าดุดันเต็มไปด้วยแววกังขา
“หลี่เซี่ย…ทำเรื่องเช่นนั้น?” เขาพึมพำกับตนเองเบา ๆ ราวกับไม่อาจเชื่อได้ สายตาคมวาบด้วยความลังเลและเจ็บลึก
หลี่เซี่ยไม่ใช่เพียงแม่ทัพร่วมศึก
...เขาคือสหายที่ร่วมฝ่าดงศัตรู ร่วมตายกลางห่าธนู
เขาไม่มีวันทำเรื่องเช่นนั้น หากไม่มีเหตุผลที่เขาไม่อาจพูดออกมาได้
"เตรียมม้า" เขาสั่งเสียงต่ำ ดวงหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบในพริบตา
"เราจะไปเมืองหลวงเดี๋ยวนี้"
"พ่ะย่ะค่ะ!" ทหารรีบถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว
หยางจื่อหาวไม่รอแม้กองคุ้มกันเต็มกำลัง มีเพียงองครักษ์สนิทไม่กี่นายที่ทันควบม้าตาม
เขาต้องไปให้ถึงก่อนทุกอย่างสายเกินไป
ก่อนที่หลี่เซี่ย...จะกลายเป็นผู้ต้องโทษในสายตาทั้งแผ่นดิน
ณ เมืองหลวง
เพียงสองวันหยางจื่อหาวก็มาถึงเมืองหลวงด้วยม้าที่อ่อนแรงเกือบล้มกลางทาง
...ณ ท้องพระโรง
บรรยากาศหนักอึ้งเหนือเสื่อหยกกลางท้องพระโรง
เบื้องหน้าบัลลังก์มังกร ฮ่องเต้ประทับด้วยแววพระเนตรดุดัน ราวมองทะลุจิตใจผู้ใดทั้งปวง
ข้างพระองค์มีอ๋องหยางหมิง สวมชุดขุนนางทหารสีเข้ม ใบหน้าสงบนิ่งดังหินผา
ตรงกลางท้องพระโรง หลี่เซี่ยนอนแน่นิ่งบนเสื่อผืนยาว ร่างกายเปื้อนเลือด บาดแผลทั่วตัวเป็นหลักฐานชัดถึงศึกภายในใจเขาเอง
บรรยากาศของเมืองมิได้เหมือนยามสงบ ด้านนอกแม้ดูเงียบงัน แต่ภายในเต็มไปด้วยเสียงซุบซิบ กระแสข่าว และสายตาจับจ้องของเหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊
หยางจื่อหาวคุกเข่าอยู่กลางท้องพระโรง สีหน้าเคร่งขรึม กลางแผ่นหลังตึงแน่น ท่ามกลางสายตาของเหล่าขุนนางที่จับจ้อง
"ฝ่าบาท...กระหม่อมขอถวายฎีกา ขอละเว้นโทษหลี่เซี่ยด้วยเถิดพะย่ะค่ะ" น้ำเสียงของหยางจื่อหาวหนักแน่น แม้จะคุกเข่าแต่ดวงตากลับเปล่งประกายมั่นคง
เสียงซุบซิบดังแผ่วในหมู่ขุนนาง
"เขากล้าลอบสังหารคนตระกูลสวีเชียวนะ..."
"ตระกูลนั้นรับราชทานสมรสกับอ๋องหมิง! แล้วนี่จะปล่อยคนผิดไปง่าย ๆ รึ?"
ฝ่าบาทยังคงเงียบ ดวงเนตรทรงพิจารณาผู้คุกเข่าอยู่เนิ่นนาน ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ
"ตระกูลสวีมิใช่ตระกูลขุนนาง แต่คุณูปการสืบทอดมาแต่บรรพบุรุษ เสบียงยามศึกยามอดอยาก ล้วนมีพวกเขาคอยหนุนส่ง เหตุใดแม่ทัพหลี่จึงต้องลงมือเข่นฆ่าเช่นนี้?"
หยางหมิงกล่าวเสียงต่ำ ไม่แฝงอารมณ์ใด ๆ
"ตอนข้ารู้ข่าว...ข้าสั่งสืบทุกทาง ไม่มีวี่แววว่าหลี่เซี่ยมีเหตุอันควรกระทำ"
"แต่เขาเคยช่วยชีวิตพวกเรา..." หยางจื่อหาวแทรกขึ้น ดวงตาแดงเรื่อ
"มิใช่เพียงครั้งสองครั้ง หากมิใช่เขา เราอาจไม่มีชัยชนะหลายสมรภูมิ เขาคือผู้เคียงบ่าพวกเรามาแต่เยาว์ ขอฝ่าบาทเมตตา ให้เขาได้ไถ่โทษ!"
ขุนนางสูงวัยคนหนึ่งกล่าวขึ้นเสียงหนัก
"หากเปิดทางให้ผู้หนึ่งได้ล่วงเกินราชโองการ โดยไม่ถูกลงโทษ แล้วจะรักษาขื่อแปของแผ่นดินได้อย่างไร? แม้เขาเคยมีบุญคุณ แต่กฎหลวงคือกฎหลวง!"
ความเงียบโรยตัวลงอีกครา ก่อนเสียงของหยางหมิงจะแทรกขึ้นมาอย่างช้า ๆ
"จื่อหาว...เจ้ากล่าวว่าเขาคือผู้เคียงบ่า เจ้ายอมรับหรือไม่ว่าการกระทำนี้ผิด?"
หยางจื่อหาวก้มหน้าลงจนหน้าผากแทบจรดพื้น
"กระหม่อมยอมรับว่าเขาทำผิด แต่กระหม่อมขอวิงวอนให้เสด็จพี่โปรดไว้ชีวิต ขอให้เขาได้ไปชดใช้ที่แดนใต้ ร่วมต้านศึกกับข้า ไม่มีเกียรติ ไม่มีตำแหน่ง แต่ใช้ชีวิตเพื่อไถ่บาปจนวันตายก็ได้พะย่ะค่ะ"
ฝ่าบาททอดพระเนตรหยางหมิงครู่หนึ่ง ก่อนตรัสเรียบ
"หมิงหมิง เจ้าเห็นอย่างไร?"
หยางหมิงเงียบไปเนิ่นนาน ก่อนกล่าวช้า ๆ
"...กระหม่อมไม่อาจไว้ชีวิตแม่ทัพผู้ใช้อำนาจในทางที่ผิดได้อีก...แต่กระหม่อมจะขอตัดสิน หากเขาจะอยู่ เขาต้องอยู่ในฐานะทาสผู้ไร้เกียติ ไร้ศักร์ศรีเท่านั้นพะย่ะค่ะ"
ฝ่าบาทพยักพระพักตร์
"ให้เป็นเช่นนั้น"
หยางจื่อหาวขานรับเสียงสั่น
"ขอบพระทัยฝ่าบาท...ขอบพระทัยเสด็จพี่ ข้าจะนำตัวเขากลับแดนใต้ และขอสาบานต่อเบื้องพระพักตร์ ว่าชีวิตนี้ เขาจะมิได้พักแม้ยามหลับ เขาจะใช้เลือดและแรงทั้งหมดไถ่คืนความผิดนี้ และหากกระหม่อมควบคุมเขามิได้ กระหม่อมจะลงดาบลงโทษเขาผู้นี้ด้วยดาบของกระหม่อมเองพะย่ะค่ะ" หยางจื่อหาวพูดด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง