ตอนที่ 9 : เสียงของหัวใจ

1459 Words
หลี่เซี่ยผลักอกหยางจื่อหาวอย่างแรง “ปล่อย!” เขาตะคอกเสียงสั่น ทั้งใบหน้าแดงก่ำด้วยโทสะ แต่หยางจื่อหาวกลับไม่ถอยแม้ครึ่งก้าว เขากดร่างหลี่เซี่ยลงกับพื้นหญ้าอีกครั้ง สายตาแน่วแน่เต็มไปด้วยความดื้อรั้นที่ไม่ยอมแพ้ “เราไม่ปล่อย...จนกว่าเจ้าจะยอมคุยกับเราดีๆ” เสียงทุ้มต่ำแต่หนักแน่นจ้องลึกเข้ามาในดวงตาหลี่เซี่ย “กระหม่อมไม่มีอะไรจะคุยกับท่านอ๋อง! กระหม่อม...เพียงแค่อยากกลับบ้าน...” น้ำเสียงสั่นเครือหลุดออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม หยางจื่อหาวชะงักไปเมื่อเห็นน้ำตาหลี่เซี่ย หัวใจเขาเต้นกระหน่ำอย่างไม่อาจควบคุม ลมหายใจเริ่มขาดช่วง มือที่ค้ำพื้นไว้สั่นเล็กน้อยอย่างไม่เคยเป็น ไม่รู้ว่าทำไม…เขาถึงโน้มหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างเงียบงัน จนกระทั่งลมหายใจอุ่นรินรดแก้มนวล ความใกล้ชิดนั้นราวกับทำให้โลกเงียบงันไปชั่วขณะ ‘นี่เรากำลัง...รักเขางั้นหรือ?’ ความคิดแล่นเข้ามาในห้วงสำนึก ทันใดนั้นเอง แขนเรียวของหลี่เซี่ยกลับยกขึ้น…เกี่ยวรัดคอของหยางจื่อหาวไว้แน่น ริมฝีปากนุ่มสัมผัสจูบลงอย่างไม่ทันตั้งตัว ความอบอุ่นนั้น…ไม่ใช่เพียงแรงปรารถนา แต่มันสั่นสะเทือนถึงก้นบึ้งของหัวใจ ภายในจิตใจของหลี่เซี่ย หรือวิญญาณของหญิงสาวผู้หลุดมาในร่างชายหนุ่มนี้ พยายามต่อต้าน พยายามขัดขืนความรู้สึกแปลกประหลาดนี้อย่างเต็มที่ แต่ราวกับเจ้าของร่างเดิม…กลับไม่ต่อต้านเลยแม้แต่น้อย มือที่เคยเย็นชา กลับวางแนบลงบนแผ่นหลังของหยางจื่อหาวอย่างเงียบงัน หยางจื่อหาวชะงักงัน ดวงตาเบิกโพลงเล็กน้อยเมื่อริมฝีปากของหลี่เซี่ยแนบลงมา เขาไม่เคยคาดคิด...ว่าความรู้สึกที่สับสนภายในใจจะถูกตอบกลับเช่นนี้ เขาไม่ขยับ ไม่ผลักไส แต่ปล่อยให้ร่างใต้ร่างสัมผัสรสจูบของเขาอย่างช้าๆ จากความนิ่งเฉย เริ่มเปลี่ยนเป็นการตอบสนองอย่างอ่อนโยน ริมฝีปากของหยางจื่อหาวขยับเบาๆ ซับรสหวานอันแปลกประหลาดที่เขาไม่เคยลิ้มลองจากใคร เสียงลมหายใจแผ่วเบากลายเป็นแรงขึ้น จังหวะหัวใจเต้นถี่เหมือนกลองศึก เขาโน้มลงอีกนิด ฝ่ามือประคองท้ายทอยของหลี่เซี่ยอย่างอ่อนโยน แล้วรสจูบนั้นก็เริ่มเร่าร้อนขึ้น ลึกซึ้งขึ้นตามจังหวะที่เร่งเร้า เสมือนเป็นบทสนทนาไร้ถ้อยคำ ที่ต่างฝ่ายต่างปล่อยให้หัวใจได้สื่อสารกันโดยไม่ต้องใช้คำพูดใด หลี่เซี่ยลืมตาเล็กน้อย น้ำตายังเอ่อคลอ แต่หัวใจกลับเต้นแรงเกินห้าม ในห้วงความรู้สึกอันยุ่งเหยิงนี้…เขาไม่อาจแน่ใจได้ว่าเป็นตัวเขาเองหรือเจ้าของร่างเดิมที่กำลังตอบสนอง มือเรียวของหลี่เซี่ยค่อยๆ แกะกระดุมเสื้อของชายตรงหน้า สัมผัสปลายนิ้วลูบไล้ผ่านแผ่นอกเปลือยเปล่าอย่างเงอะงะและสั่นไหว ชายเสื้อที่สวมใส่ลวกๆ จากค่ายในตอนเช้า ถูกปลดเปลื้องอย่างง่ายดาย จนร่างกำยำของหยางจื่อหาวปรากฏต่อหน้าภายใต้แสงอาทิตย์อ่อนยามเช้า ลมหายใจของทั้งคู่ร้อนผ่าว เหมือนเผาใจให้หลอมละลาย แต่ในจังหวะที่หลี่เซี่ยเงยหน้าขึ้นจะจูบเขาอีกครั้ง สายตาหยางจื่อหาวกลับสะดุด ราวกับสติของเขากระแทกกลับเข้าร่างทันควัน "พอเถอะ..." เขาพึมพำเสียงแผ่ว ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อยเหมือนเพิ่งตื่นจากความฝัน หยางจื่อหาวผละออกทันที ลุกพรวดขึ้นยืนเต็มความสูง ใบหน้าเขาแดงก่ำทั้งจากอารมณ์และความตกใจ มือข้างหนึ่งเสยผมยุ่งอย่างลังเล ขณะที่อีกข้างรีบดึงร่างของหลี่เซี่ยที่ยังอ้อยอิ่งอยู่กับพื้นขึ้นมาแนบอก แล้วแบกร่างนั้นพาดบนไหล่กว้างอย่างไม่พูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว หลี่เซี่ยดิ้นเล็กน้อย แต่ไม่มีแรงจะต่อต้านเต็มที่ ลมหายใจยังถี่ระรัวและแผ่วบาง ดวงตาแดงช้ำจากน้ำตาเมื่อครู่ เขาไม่รู้ว่าหยางจื่อหาวกำลังจะพาเขาไปที่ใด รู้เพียงว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว จนกระทั่งขึ้นหลังม้าพร้อมกันโดยไม่สบตาเลยสักครั้ง... เสียงกีบม้ากระทบผืนดินเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ลมหญ้าไหวเอนรับแรงลมอ่อนพัดผ่าน บนหลังม้าตัวใหญ่ หลี่เซี่ยเอนศีรษะพิงอกของหยางจื่อหาวอย่างอ่อนแรง ผิวกายร้อนผ่าวเพราะพิษไข้ยังไม่คลาย หยางจื่อหาวรู้สึกถึงลมหายใจร้อนระอุแนบอก ใจเขาเต้นรัวผิดจังหวะอีกครั้งอย่างควบคุมไม่อยู่ แขนข้างหนึ่งโอบประคองอีกฝ่ายแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว แววตาทอดมองเส้นทางเบื้องหน้า แต่จิตใจกลับเต็มไปด้วยคำถาม 'ข้าคิดยังไงกับเขากันแน่...' ตลอดมาหลี่เซี่ยคือสหายคนหนึ่ง คนที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ในสนามรบ เป็นชายชาตินักรบที่เขาเคยคิดว่าแม้จะร่วมรักหญิงคนเดียวกัน ก็หาได้รู้สึกอิจฉา แต่เวลานี้ เมื่อร่างอุ่นแนบอยู่ในอ้อมกอด กลับไม่มีความคิดเกี่ยวกับสตรีคนใดผุดขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย เขาเริ่มสับสน 'นี่ข้ากำลังรักเขาอย่างนั้นหรือ?' 'แต่ข้าเป็นอ๋อง เป็นผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์ หากผู้ใดล่วงรู้...เรื่องนี้จะกลายเป็นตราบาป' เสียงกีบม้าหยุดลงตรงหน้าค่าย หยางจื่อหาวสะดุ้งเล็กน้อยคล้ายได้สติคืน เขาชะงักมองหลี่เซี่ยในอ้อมแขน ใบหน้าแดงซ่านเพราะพิษไข้ ดวงตาปิดสนิทไร้การรับรู้ เขาไม่ลังเล ก่อนช้อนร่างนั้นขึ้นอุ้มแนบอก ก้าวเท้าเข้าไปในค่ายโดยไม่มองสายตาทหารนายใด เดินตรงเข้าห้องของตน วางหลี่เซี่ยลงบนเตียงเบาๆ ก่อนหันออกไปตะโกนสั่งด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม “เรียกหมอมาดูอาการเขาเดี๋ยวนี้!” แล้วเขาก็นั่งลงข้างเตียง จับมืออีกฝ่ายไว้แน่น แม้ในใจยังวุ่นวาย...แต่มีเพียงอย่างเดียวที่แน่นอนในเวลานี้ คือเขาจะไม่ยอมให้หลี่เซี่ยเป็นอะไรไปอีก เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง ชายหนุ่มร่างสูงในชุดฮั่นฝูสีเทาเดินเข้ามาอย่างไม่เร่งรีบ พัดในมือนั้นสะบัดเบาๆ คล้ายเล่นลมเล่นอารมณ์ของตน เขา -ซูเหวินซี- กุนซือไร้สังกัดผู้รักอิสระ ชายหนุ่มที่หล่อเหลาจนยากจะละสายตา ดวงตาเรียวยาวเจ้าเล่ห์ผสานความสุขุม คิ้วคมดั่งคมกระบี่รับกับดวงหน้าชัดเจน ไรเคราบางเฉียบที่ปลายคางเสริมเสน่ห์ของผู้ชายสุขุมเยือกเย็น รอยยิ้มที่แต่งแต้มมุมปากของเขานั้น ทั้งเย้ายวนและน่าค้นหา เขาไม่ใช่เพียงแค่กุนซือ หากแต่เป็นเจ้าของสวนดอกท้อกว้างใหญ่ทางตอนใต้ ที่ใช้เพาะกลั่นสุรารสเลิศจนเป็นที่เลื่องลือในหมู่ชนชั้นสูง ร่ำรวยพอจะใช้ชีวิตสันโดษอย่างสุขสบาย ทว่ายังเลือกจะปรากฏตัวบนสนามรบในฐานะกุนซือเมื่อใจปรารถนา เพราะสำหรับเขา การวางแผนศึกคือเรื่องท้าทาย ไม่ใช่ภาระ เมื่อเขาเอ่ยปาก เสียงทุ้มต่ำของเขายิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของเขานั้นเด่นชัด น่าเกรงขามแต่น่าค้นหา "รักแล้วใช่หรือไม่?" เขาพูดพลางยิ้มอย่างหยอกล้อ หยางจื่อหาวหันมามอง ก่อนถอนหายใจเบาๆ "เจ้ามาพอดีเลย...เจ้ารักษาคนเป็นนี่ ตรวจดูอาการหลี่น้อยให้เราที" "ไม่มีปัญหา...หากอยู่ในมือข้าแล้ว ย่อมไม่เป็นไร" ซูเหวินซีกล่าว ก่อนจะเดินไปจับข้อมือหลี่เซี่ยอย่างนุ่มนวล ตรวจชีพจรและอาการอย่างเชี่ยวชาญ ไม่นาน เขาก็สั่งยาให้คนไปต้มและนำมาป้อนหลี่เซี่ยที่ยังนอนแน่นิ่ง ทั้งสองนั่งเฝ้าดูหลี่เซี่ยบนเตียง พลางจิบสุราที่ซูเหวินซีพกมาด้วย สุราทำมือจากสวนของเขาเอง กลิ่นหอมอบอวลชวนเคลิบเคลิ้ม "เจ้า...รักเขาแล้วล่ะ" ซูเหวินซีกล่าวพลางเหลือบตามอง หยางจื่อหาวชะงักอีกครั้ง "เจ้าดูออกเลยหรือ?" เขาพยักหน้าตอบ "เพียงแต่ เจ้าคิดว่าพี่ชายของเจ้าทั้งสองคน จะไม่มีใครส่งคนมาตามดูนักโทษของพวกเขาเลยหรือ?" คำพูดของเขาทำให้ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ชั่วขณะหนึ่ง หยางจื่อหาวกำหมัดแน่น ก่อนเอ่ยเสียงเบา "เช่นนั้น...เรื่องวันนี้ก็ต้องไปถึงหูฝ่าบาทและเสด็จพี่เป็นแน่" เขามองหลี่เซี่ยด้วยสายตาหนักแน่น "เช่นนั้น เจ้าก็ไม่ปลอดภัย"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD