หลี่เซี่ยผลักอกหยางจื่อหาวอย่างแรง
“ปล่อย!” เขาตะคอกเสียงสั่น ทั้งใบหน้าแดงก่ำด้วยโทสะ
แต่หยางจื่อหาวกลับไม่ถอยแม้ครึ่งก้าว เขากดร่างหลี่เซี่ยลงกับพื้นหญ้าอีกครั้ง สายตาแน่วแน่เต็มไปด้วยความดื้อรั้นที่ไม่ยอมแพ้
“เราไม่ปล่อย...จนกว่าเจ้าจะยอมคุยกับเราดีๆ” เสียงทุ้มต่ำแต่หนักแน่นจ้องลึกเข้ามาในดวงตาหลี่เซี่ย
“กระหม่อมไม่มีอะไรจะคุยกับท่านอ๋อง! กระหม่อม...เพียงแค่อยากกลับบ้าน...” น้ำเสียงสั่นเครือหลุดออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
หยางจื่อหาวชะงักไปเมื่อเห็นน้ำตาหลี่เซี่ย หัวใจเขาเต้นกระหน่ำอย่างไม่อาจควบคุม ลมหายใจเริ่มขาดช่วง
มือที่ค้ำพื้นไว้สั่นเล็กน้อยอย่างไม่เคยเป็น
ไม่รู้ว่าทำไม…เขาถึงโน้มหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างเงียบงัน จนกระทั่งลมหายใจอุ่นรินรดแก้มนวล ความใกล้ชิดนั้นราวกับทำให้โลกเงียบงันไปชั่วขณะ
‘นี่เรากำลัง...รักเขางั้นหรือ?’ ความคิดแล่นเข้ามาในห้วงสำนึก
ทันใดนั้นเอง
แขนเรียวของหลี่เซี่ยกลับยกขึ้น…เกี่ยวรัดคอของหยางจื่อหาวไว้แน่น
ริมฝีปากนุ่มสัมผัสจูบลงอย่างไม่ทันตั้งตัว
ความอบอุ่นนั้น…ไม่ใช่เพียงแรงปรารถนา แต่มันสั่นสะเทือนถึงก้นบึ้งของหัวใจ
ภายในจิตใจของหลี่เซี่ย หรือวิญญาณของหญิงสาวผู้หลุดมาในร่างชายหนุ่มนี้ พยายามต่อต้าน พยายามขัดขืนความรู้สึกแปลกประหลาดนี้อย่างเต็มที่
แต่ราวกับเจ้าของร่างเดิม…กลับไม่ต่อต้านเลยแม้แต่น้อย มือที่เคยเย็นชา กลับวางแนบลงบนแผ่นหลังของหยางจื่อหาวอย่างเงียบงัน
หยางจื่อหาวชะงักงัน ดวงตาเบิกโพลงเล็กน้อยเมื่อริมฝีปากของหลี่เซี่ยแนบลงมา เขาไม่เคยคาดคิด...ว่าความรู้สึกที่สับสนภายในใจจะถูกตอบกลับเช่นนี้
เขาไม่ขยับ ไม่ผลักไส แต่ปล่อยให้ร่างใต้ร่างสัมผัสรสจูบของเขาอย่างช้าๆ จากความนิ่งเฉย เริ่มเปลี่ยนเป็นการตอบสนองอย่างอ่อนโยน
ริมฝีปากของหยางจื่อหาวขยับเบาๆ ซับรสหวานอันแปลกประหลาดที่เขาไม่เคยลิ้มลองจากใคร เสียงลมหายใจแผ่วเบากลายเป็นแรงขึ้น จังหวะหัวใจเต้นถี่เหมือนกลองศึก
เขาโน้มลงอีกนิด ฝ่ามือประคองท้ายทอยของหลี่เซี่ยอย่างอ่อนโยน
แล้วรสจูบนั้นก็เริ่มเร่าร้อนขึ้น ลึกซึ้งขึ้นตามจังหวะที่เร่งเร้า
เสมือนเป็นบทสนทนาไร้ถ้อยคำ ที่ต่างฝ่ายต่างปล่อยให้หัวใจได้สื่อสารกันโดยไม่ต้องใช้คำพูดใด
หลี่เซี่ยลืมตาเล็กน้อย น้ำตายังเอ่อคลอ แต่หัวใจกลับเต้นแรงเกินห้าม
ในห้วงความรู้สึกอันยุ่งเหยิงนี้…เขาไม่อาจแน่ใจได้ว่าเป็นตัวเขาเองหรือเจ้าของร่างเดิมที่กำลังตอบสนอง
มือเรียวของหลี่เซี่ยค่อยๆ แกะกระดุมเสื้อของชายตรงหน้า
สัมผัสปลายนิ้วลูบไล้ผ่านแผ่นอกเปลือยเปล่าอย่างเงอะงะและสั่นไหว
ชายเสื้อที่สวมใส่ลวกๆ จากค่ายในตอนเช้า ถูกปลดเปลื้องอย่างง่ายดาย
จนร่างกำยำของหยางจื่อหาวปรากฏต่อหน้าภายใต้แสงอาทิตย์อ่อนยามเช้า
ลมหายใจของทั้งคู่ร้อนผ่าว เหมือนเผาใจให้หลอมละลาย
แต่ในจังหวะที่หลี่เซี่ยเงยหน้าขึ้นจะจูบเขาอีกครั้ง สายตาหยางจื่อหาวกลับสะดุด
ราวกับสติของเขากระแทกกลับเข้าร่างทันควัน
"พอเถอะ..." เขาพึมพำเสียงแผ่ว ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อยเหมือนเพิ่งตื่นจากความฝัน
หยางจื่อหาวผละออกทันที ลุกพรวดขึ้นยืนเต็มความสูง
ใบหน้าเขาแดงก่ำทั้งจากอารมณ์และความตกใจ มือข้างหนึ่งเสยผมยุ่งอย่างลังเล
ขณะที่อีกข้างรีบดึงร่างของหลี่เซี่ยที่ยังอ้อยอิ่งอยู่กับพื้นขึ้นมาแนบอก
แล้วแบกร่างนั้นพาดบนไหล่กว้างอย่างไม่พูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว
หลี่เซี่ยดิ้นเล็กน้อย แต่ไม่มีแรงจะต่อต้านเต็มที่
ลมหายใจยังถี่ระรัวและแผ่วบาง ดวงตาแดงช้ำจากน้ำตาเมื่อครู่
เขาไม่รู้ว่าหยางจื่อหาวกำลังจะพาเขาไปที่ใด
รู้เพียงว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
จนกระทั่งขึ้นหลังม้าพร้อมกันโดยไม่สบตาเลยสักครั้ง...
เสียงกีบม้ากระทบผืนดินเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
ลมหญ้าไหวเอนรับแรงลมอ่อนพัดผ่าน
บนหลังม้าตัวใหญ่ หลี่เซี่ยเอนศีรษะพิงอกของหยางจื่อหาวอย่างอ่อนแรง
ผิวกายร้อนผ่าวเพราะพิษไข้ยังไม่คลาย
หยางจื่อหาวรู้สึกถึงลมหายใจร้อนระอุแนบอก
ใจเขาเต้นรัวผิดจังหวะอีกครั้งอย่างควบคุมไม่อยู่
แขนข้างหนึ่งโอบประคองอีกฝ่ายแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
แววตาทอดมองเส้นทางเบื้องหน้า แต่จิตใจกลับเต็มไปด้วยคำถาม
'ข้าคิดยังไงกับเขากันแน่...'
ตลอดมาหลี่เซี่ยคือสหายคนหนึ่ง คนที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ในสนามรบ
เป็นชายชาตินักรบที่เขาเคยคิดว่าแม้จะร่วมรักหญิงคนเดียวกัน ก็หาได้รู้สึกอิจฉา
แต่เวลานี้ เมื่อร่างอุ่นแนบอยู่ในอ้อมกอด
กลับไม่มีความคิดเกี่ยวกับสตรีคนใดผุดขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
เขาเริ่มสับสน
'นี่ข้ากำลังรักเขาอย่างนั้นหรือ?'
'แต่ข้าเป็นอ๋อง เป็นผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์ หากผู้ใดล่วงรู้...เรื่องนี้จะกลายเป็นตราบาป'
เสียงกีบม้าหยุดลงตรงหน้าค่าย
หยางจื่อหาวสะดุ้งเล็กน้อยคล้ายได้สติคืน
เขาชะงักมองหลี่เซี่ยในอ้อมแขน ใบหน้าแดงซ่านเพราะพิษไข้
ดวงตาปิดสนิทไร้การรับรู้
เขาไม่ลังเล ก่อนช้อนร่างนั้นขึ้นอุ้มแนบอก
ก้าวเท้าเข้าไปในค่ายโดยไม่มองสายตาทหารนายใด
เดินตรงเข้าห้องของตน วางหลี่เซี่ยลงบนเตียงเบาๆ
ก่อนหันออกไปตะโกนสั่งด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม
“เรียกหมอมาดูอาการเขาเดี๋ยวนี้!”
แล้วเขาก็นั่งลงข้างเตียง จับมืออีกฝ่ายไว้แน่น
แม้ในใจยังวุ่นวาย...แต่มีเพียงอย่างเดียวที่แน่นอนในเวลานี้ คือเขาจะไม่ยอมให้หลี่เซี่ยเป็นอะไรไปอีก
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง ชายหนุ่มร่างสูงในชุดฮั่นฝูสีเทาเดินเข้ามาอย่างไม่เร่งรีบ พัดในมือนั้นสะบัดเบาๆ คล้ายเล่นลมเล่นอารมณ์ของตน
เขา -ซูเหวินซี- กุนซือไร้สังกัดผู้รักอิสระ
ชายหนุ่มที่หล่อเหลาจนยากจะละสายตา ดวงตาเรียวยาวเจ้าเล่ห์ผสานความสุขุม คิ้วคมดั่งคมกระบี่รับกับดวงหน้าชัดเจน
ไรเคราบางเฉียบที่ปลายคางเสริมเสน่ห์ของผู้ชายสุขุมเยือกเย็น รอยยิ้มที่แต่งแต้มมุมปากของเขานั้น ทั้งเย้ายวนและน่าค้นหา
เขาไม่ใช่เพียงแค่กุนซือ หากแต่เป็นเจ้าของสวนดอกท้อกว้างใหญ่ทางตอนใต้ ที่ใช้เพาะกลั่นสุรารสเลิศจนเป็นที่เลื่องลือในหมู่ชนชั้นสูง
ร่ำรวยพอจะใช้ชีวิตสันโดษอย่างสุขสบาย ทว่ายังเลือกจะปรากฏตัวบนสนามรบในฐานะกุนซือเมื่อใจปรารถนา เพราะสำหรับเขา การวางแผนศึกคือเรื่องท้าทาย ไม่ใช่ภาระ
เมื่อเขาเอ่ยปาก เสียงทุ้มต่ำของเขายิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของเขานั้นเด่นชัด น่าเกรงขามแต่น่าค้นหา
"รักแล้วใช่หรือไม่?" เขาพูดพลางยิ้มอย่างหยอกล้อ
หยางจื่อหาวหันมามอง ก่อนถอนหายใจเบาๆ
"เจ้ามาพอดีเลย...เจ้ารักษาคนเป็นนี่ ตรวจดูอาการหลี่น้อยให้เราที"
"ไม่มีปัญหา...หากอยู่ในมือข้าแล้ว ย่อมไม่เป็นไร" ซูเหวินซีกล่าว ก่อนจะเดินไปจับข้อมือหลี่เซี่ยอย่างนุ่มนวล ตรวจชีพจรและอาการอย่างเชี่ยวชาญ
ไม่นาน เขาก็สั่งยาให้คนไปต้มและนำมาป้อนหลี่เซี่ยที่ยังนอนแน่นิ่ง
ทั้งสองนั่งเฝ้าดูหลี่เซี่ยบนเตียง พลางจิบสุราที่ซูเหวินซีพกมาด้วย สุราทำมือจากสวนของเขาเอง กลิ่นหอมอบอวลชวนเคลิบเคลิ้ม
"เจ้า...รักเขาแล้วล่ะ" ซูเหวินซีกล่าวพลางเหลือบตามอง
หยางจื่อหาวชะงักอีกครั้ง
"เจ้าดูออกเลยหรือ?"
เขาพยักหน้าตอบ
"เพียงแต่ เจ้าคิดว่าพี่ชายของเจ้าทั้งสองคน จะไม่มีใครส่งคนมาตามดูนักโทษของพวกเขาเลยหรือ?"
คำพูดของเขาทำให้ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
หยางจื่อหาวกำหมัดแน่น ก่อนเอ่ยเสียงเบา
"เช่นนั้น...เรื่องวันนี้ก็ต้องไปถึงหูฝ่าบาทและเสด็จพี่เป็นแน่"
เขามองหลี่เซี่ยด้วยสายตาหนักแน่น
"เช่นนั้น เจ้าก็ไม่ปลอดภัย"