ภายในตำหนักหลวง
แสงเทียนสลัวสะท้อนกับกระเบื้องเคลือบใต้พระบาท ฝ่าบาทประทับอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์เตี้ย เบื้องล่างคืออ๋องหยางหมิงนั่งนิ่ง สีหน้าทั้งคู่ตึงเครียด ขันทีคนสนิทเพิ่งอ่านจดหมายรายงานสายลับจบลง
“จื่อหาว...กล้าอ่อนข้อให้คนอย่างหลี่เซี่ย?” ฝ่าบาทตรัสเสียงเย็น แววตาทรงอำนาจฉายแววผิดหวังลึกๆ
“ทั้งที่เจ้าเป็นคนเลือกคนผู้นั้นเข้ามาแต่แรก หยางหมิง เจ้ายังจะมีหน้าเถียงให้เขาอีกหรือไม่?”
อ๋องหมิงเงียบไปชั่วครู่ สายตาจับจ้องดวงเทียนที่ลุกไหว ก่อนกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่น
“หากข้าไม่เลือกเขา เราคงไม่สามารถจับตาดูจื่อหาวได้ขนาดนี้ แต่...ข้าไม่คิดว่าน้องชายข้าจะ”
เขาหยุดชะงัก สูดลมหายใจลึก
“เผลอมีใจให้กับคนบาป...ถึงขั้นพาตัวเองลงน้ำเพื่อช่วยเขา”
ฝ่าบาทลุกขึ้นจากพระที่ เสด็จไปยังหน้าต่าง สายพระเนตรทอดออกนอกตำหนักด้วยท่วงท่าครุ่นคิด
“ข่าวนี้หากหลุดออกไปเพียงน้อยนิด ชื่อเสียงราชวงศ์จะไม่เหลือ...”
“จื่อหาวต้องกลับเข้าวังโดยด่วน ส่วนหลี่เซี่ย…” พระสุรเสียงของฝ่าบาทขาดหายไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นเฉียบ
“กำจัดเสีย” อ๋องหมิงขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นสบสายตา
“ฝ่าบาท...หลี่เซี่ยยังมีประโยชน์ หากเขาถูกกำจัดในตอนนี้ จื่อหาวอาจคลุ้มคลั่ง และพวกขุนนางฝั่งชายแดนจะตั้งคำถาม”
“หากเจ้ายังห่วงผลกระทบทางการทูต ก็ใช้วิธีของเจ้า” ฝ่าบาทตอบพลางโบกพระหัตถ์
“แต่อย่าให้คนผู้นั้นมีโอกาสก่อเรื่องอีก แม้แต่น้อย”
อ๋องหมิงลุกขึ้นช้าๆ น้อมรับบัญชา
“กระหม่อมจะจัดการให้เรียบร้อย โดยไม่ทิ้งร่องรอยใด”
เมื่อเขาหันหลังจากไป ดวงเนตรของฝ่าบาทยังมองไกลออกไปเหนือฟ้าราตรี
ณ ชายแดนใต้ - หลายวันต่อมา
แดดยามสายสาดลงบนค่ายทหารอย่างแผ่วเบา แต่ภายในกระโจมหนึ่งที่เงียบสงบ หลี่เซี่ยกลับไม่ได้สัมผัสแสงนั้นมาหลายวันแล้ว
เขานั่งนิ่งอยู่ริมเตียง ใบหน้าเรียบนิ่ง ทว่าดวงตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
หลังจากเหตุการณ์ที่เขากลิ้งตกจากหลังม้าพร้อมหยางจื่อหาววันนั้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
จื่อหาวเริ่มเฝ้าเขาไม่ห่าง...และไม่อนุญาตให้เขาออกจากกระโจมแม้แต่ครึ่งก้าว
ทุกครั้งที่หลี่เซี่ยพยายามขอออกไปทำงานตามปกติ จื่อหาวจะมองเขานิ่ง แล้วกล่าวสั้นๆว่า
“ข้าห้าม”
บ่าวไพร่และทหารต่างเริ่มนินทาอย่างเปิดเผย บ้างว่า "หลี่เซี่ยเจ็บหนัก"
บางคนแอบกระซิบว่า "อ๋องจื่อห่าวหลงใหลในบุรุษผู้นั้น"
แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยต่อหน้าทั้งคู่
ภายนอกประตูกระโจม มียามสองคนยืนเฝ้าตลอดเวลา แม้แต่สาวใช้ที่เคยสนิทก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยม
ในค่ำคืนหนึ่ง...
หลี่เซี่ยนั่งมองแสงจันทร์ลอดผ้าโปร่ง พลางพึมพำ
“นี่คือ...การปกป้อง หรือการคุมขังกันแน่?”
เบื้องนอกกระโจม เงาร่างหนึ่งในชุดดำซ่อนอยู่หลังกอหญ้า
สายลับจากวังหลวงยังไม่ละสายตา แม้เพียงเสี้ยววัน
และข่าวนี้…ก็กำลังจะเดินทางไปถึงคนในวังหลวง
จู่ ๆ ในยามค่ำคืนที่ค่ายเงียบสงบ เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังขึ้นจากด้านนอกห้อง ก่อนประตูไม้จะถูกผลักเปิดออกอย่างแรง
หยางจื่อหาวในชุดหลวม ๆ เดินโซเซเข้ามาในห้อง กลิ่นสุรากลั่นโชยชัด กล้ามเนื้อแน่นที่เคยถูกซ่อนด้วยชุดเกราะ บัดนี้เปลือยเปล่าภายใต้เสื้อคลุมที่ถูกปลดออกอย่างไม่เป็นระเบียบ เส้นผมยาวสยายอย่างไม่เป็นทรง ชายหนุ่มที่มักสงบนิ่งเยือกเย็นกลับดูบ้าบิ่นในยามเมามาย
เขามองหลี่เซี่ยด้วยแววตาเจือแอลกอฮอล์และความเวทนา ริมฝีปากคลี่ยิ้มเศร้า ก่อนเสียงทุ้มต่ำจะเอ่ยออกมา
“หลี่น้อย... เราหนีกันเถอะ”
หลี่เซี่ยชะงักงัน ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกใจ ก่อนก้าวถอยตามสัญชาตญาณ ทว่าเพราะความตกใจ หลี่เซี่ยเสียหลักล้มลงบนเตียงที่อยู่ด้านหลัง
หยางจื่อหาวยังคงก้าวเข้ามาใกล้อย่างไม่ยอมหยุด เงาร่างสูงใหญ่โน้มลงมาทาบทับร่างหลี่เซี่ยไว้ ดวงตาคมนั้นมองลึกลงมา สะท้อนความปวดร้าวบางอย่างที่เขาไม่เคยแสดงให้ใครเห็น
“หนี...ทำไมหรือท่านอ๋อง...” หลี่เซี่ยเอ่ยถามเสียงแผ่ว พยายามเบือนหน้าหนีเมื่อเขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้เรื่อย ๆ
“เจ้ารักข้าหรือไม่...”
เสียงคำถามนั้นราวกับสายฟ้าฟาดกลางใจโมนา
โมนาชะงัก สมองตื้อไปในพริบตา ใช่...เธอรักเขา หรือหลี่เซี่ยในร่างนี้รักเขากันแน่?
ตั้งแต่มาอยู่ในร่างนี้ เธอไม่เคยรู้สึกหวั่นไหวกับเขา ทว่า...ทุกครั้งที่เขาแตะต้องเธอ ร่างกายกลับตอบสนองราวกับมีใครอีกคนคอยควบคุมอยู่เบื้องหลัง เหมือนหลี่เซี่ย...ยังไม่เคยหายไป
ในขณะที่จิตใจของเธอกำลังโต้เถียงกันอย่างเงียบงัน ริมฝีปากของหลี่เซี่ยก็ถูกประกบลงมาด้วยความรุนแรง บดขยี้จนแทบหายใจไม่ทัน ใต้ร่างได้แต่ร้องอู้อี้อยู่ในลำคอ
“อื้ออ...”
เขาบดจูบลงมาไม่ใช่เพราะความใคร่ หากแต่เพราะความอัดอั้นและความรักที่มีต่อคนใต้ร่าง เขาดูดดื่มลงมาราวกับว่ากลัวว่าคนใต้ร่างจะหายไป
ริมฝีปากหยางจื่อหาวแนบลงมา ลึกขึ้น เร่าร้อนขึ้น ความลังเลที่เคยมีในแววตาถูกแทนที่ด้วยความปรารถนาอันเกินห้าม เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เกิดจากใจหรือพิษสุรา แต่เขารู้เพียงว่าร่างใต้ร่างนี้คือคนที่เขาอยากปกป้อง แม้ต้องแลกด้วยทุกอย่าง
“ข้าจะไม่ให้ใครแย่งเจ้าไป...” เสียงพร่าต่ำกระซิบที่ข้างหู ก่อนมือใหญ่จะเลื่อนไปลูบไล้แก้มขาวนวลด้วยความทะนุถนอม
หลี่เซี่ยหอบหายใจ ใบหน้าแดงก่ำด้วยพิษรักที่ระอุในอก มือของเขาเลื่อนไปปลดสายผ้าที่พันรัดร่างหลี่เซี่ยอย่างแผ่วเบา เผยผิวขาวที่สะท้อนแสงตะเกียงในห้องเลือนลาง
กล้ามเนื้อแน่นของเขาแนบลงมา กระแสความร้อนพวยพุ่งราวกับไฟเผาใจ เขาจูบหลี่เซี่ยอีกครั้ง ลึกซึ้งจนหัวใจสั่นสะเทือน
ริมฝีปากของหยางจื่อหาวยังไม่หยุดเคลื่อนไหว ลมหายใจของเขาแผดร้อนแนบข้างแก้ม มือเรียวยาวสอดผ่านสาบเสื้อของคนใต้ร่างเบา ๆ อย่างไม่รีบร้อน แต่แนบแน่นด้วยความปรารถนาที่เก็บกลั้นมานาน
หลี่เซี่ยเบี่ยงหน้าหนีแทบไม่ทัน ทว่าเรือนกายกลับสั่นไหวอย่างไม่รู้ตัว ปลายนิ้วของเขาลูบไล้ผิวเนื้อเปลือยเปล่าราวกับค้นหาคำตอบในใจตนเอง ว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เขารู้สึก…คือรักหรือเพียงแค่ความใคร่
หลี่เซี่ยอยากต่อต้าน แต่กลับไม่มีแรงจะผลักไส เมื่อมืออีกข้างของเขารั้งเอวหลี่เซี่ยเข้ามาแนบชิด ลำตัวแข็งแกร่งโน้มทาบลงมาแน่นสนิท กลิ่นกายบุรุษอวลไปทั่วราวกับขังเขาไว้ในห้วงความรู้สึกที่ไม่อาจหลีกหนี
"ข้าไม่สนอีกแล้วว่าเจ้ารักข้าหรือไม่..." เขากระซิบเสียงต่ำใกล้ใบหู