"แต่คืนนี้...เจ้าเป็นของข้า"
คำนั้นทำเอาใจหลี่เซี่ยสั่นสะท้าน เขาโน้มใบหน้าลง ซุกไซ้ซอกคออุ่นไล่ไปถึงไหล่เปลือย เสียงหอบหายใจของทั้งสองเริ่มกระชั้นขึ้น เสียงสายผ้าถูกปลดออกอย่างแผ่วเบา กลีบปากของทั้งสองประสานกันอีกครั้ง ลึกซึ้งและเร่าร้อนเกินกว่าจะถอยกลับ
มือใหญ่ของหยางจื่อหาวกดลงบนไหล่ของหลี่เซี่ยอย่างมั่นคง เพียงแรงเบา ๆ ก็ทำให้ร่างนั้นพลิกกลับลงไปนอนคว่ำกับผืนเตียง เสียงลมหายใจของหลี่เซี่ยแผ่วเบา ขณะที่แผ่นหลังเปลือยเปล่าเปิดเผยต่อสายตาเขา
หยางจื่อหาวโน้มตัวลง ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดอยู่ข้างใบหูของหลี่เซี่ย ก่อนที่ริมฝีปากจะขบเม้มเบา ๆ ตรงใบหู แล้วค่อย ๆ เลื่อนลงมายังซอกคอด้านหลัง
มือใหญ่เลื่อนไปจับสายลัดเอวของตนอย่างแน่วแน่ ก่อนจะปลดออกด้วยท่วงท่าที่หนักแน่น แผ่นผ้าร่วงหล่นลงอย่างไร้เสียง ทิ้งไว้เพียงไออุ่นระหว่างสองร่าง
เขาก้มลง บดจูบลงบนแผ่นหลังที่ยังหลงเหลือร่องรอยของบาดแผลเก่า...จูบที่อ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยความเร่าร้อนราวเปลวเพลิงที่ถูกกักเก็บมานาน ราวกับต้องการปลอบโยนและครอบครองคนใต้ร่างในเวลาเดียวกัน
หยางจื่อหาวค่อย ๆ แทรกตัวลงกลางเรียวขาที่สั่นไหวของหลี่เซี่ยจากด้านหลัง ความใกล้ชิดที่ไร้ซึ่งสิ่งกั้นกลางทำให้ลมหายใจของทั้งสองประสานกันจนยากจะแยกออก
ลมหายใจของเขาร้อนผ่าว เป่ารดต้นคออีกฝ่ายไม่ขาด ราวกับจะย้ำให้รับรู้ถึงการมีอยู่ของตนในทุกวินาที
“อ๊ะ…!” เสียงร้องหลุดออกจากริมฝีปากของหลี่เซี่ยโดยไม่ทันยั้ง เมื่อความรู้สึกเจ็บแล่นวาบขึ้นมาจากช่วงล่างที่ถูกรุกราน ร่างกำยำสะดุ้งเฮือก สองมือจิกผ้าปูเตียงแน่น ความอึดอัดแล่นวาบไปทั้งร่าง ขณะที่เขาพยายามกลั้นเสียงหายใจที่เริ่มขาดช่วง
ในขณะเดียวกัน มืออีกข้างของหยางจื่อหาวก็เลื่อนต่ำลง ซุกไซ้ใต้เรียวขาของหลี่เซี่ยอย่างเชื่องช้า ปลายนิ้วไล้ผ่านผิวเนื้อไวสัมผัส จนคนใต้ร่างสะท้านเฮือก ความรู้สึกปะปนระหว่างความเจ็บปวดกับแรงปรารถนาแล่นวาบผ่านร่างในเวลาเดียวกัน...ทั้งต่อต้าน ทั้งโหยหา จนไม่อาจบอกได้ว่าเสียงครางเบา ๆ ที่หลุดออกมานั้นมาจากสิ่งใดกันแน่
“อ่าาาา...”
“อ่าาา...ซี๊ดดด...”
เสียงครางหวานพลันดังแผ่วออกมาจากลำคอของหลี่เซี่ย ก่อนจะประสานกับเสียงลมหายใจหนักของหยางจื่อหาว จังหวะที่สอดประสานกันอย่างไม่ตั้งใจ กลับยิ่งขับเน้นความร้อนแรงที่เอ่อล้นในห้องแคบให้หนักหน่วงขึ้นทุกขณะ
เตียงไม้ส่งเสียงเอี้ยดอ๊าดเพียงเบา ๆ เมื่อเรือนร่างทั้งสองขยับเข้าหากันในจังหวะที่หัวใจเต้นแรง พายุอารมณ์โหมกระหน่ำเหมือนคลื่นที่ซัดซ้ำไม่ยอมหยุด จนกระทั่งความร้อนรุ่มถึงจุดสูงสุด...เวลาคล้ายหยุดนิ่ง เหลือเพียงลมหายใจของสองคนที่ประสานเป็นหนึ่งเดียว
ค่ำคืนนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่บทพิสูจน์ของหัวใจ แต่เป็นตราประทับของความผูกพัน...ที่ไม่มีวันหวนกลับมาเป็นเช่นเดิมได้อีก
ผ้าห่มสีจางหล่นจากขอบเตียงเผยให้เห็นแผ่นอกแกร่งของหยางจื่อหาวแนบชิดกับร่างบางของหลี่เซี่ยซึ่งนอนหายใจแผ่วอยู่เคียงข้าง เส้นผมยาวสีดำของทั้งสองกระจายสยายบนฟูก พาดผ่านเรียวขาที่แนบชิด เสียงหอบหายใจดังประสานกันเบา ๆ ราวกับกล่อมค่ำคืนอันยาวนานให้สิ้นสุดลง
หยางจื่อหาวเอื้อมมือขึ้นลูบใบหน้าของหลี่เซี่ยเบา ๆ ก่อนกระซิบด้วยเสียงทุ้มแหบพร่า
“เราหนีไปด้วยกันเถิด หลี่น้อย…”
หลี่เซี่ยลืมตาช้า ๆ ดวงตายังเต็มไปด้วยไออุ่นของบทพิสูจน์รัก ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว
“เพราะเหตุใดหรือ?”
“หากเรารักกัน… เจ้าจะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป” เขาตอบทั้งที่แววตายังจ้องมองหลี่เซี่ยไม่วางตา
หลี่เซี่ยยิ้มจาง ๆ ก่อนเบือนหน้ามองออกไปนอกม่าน
“จริงสิ กระหม่อมเป็นนักโทษ... แต่หากหนีไป พระองค์จะต้องโทษด้วย”
หยางจื่อหาวจับมือหลี่เซี่ยแน่น น้ำเสียงหนักแน่นกว่าเคย
“ขอเพียงเจ้ายอม... ข้าจะปกป้องเจ้าจนกว่าชีวิตจะมลาย”
รุ่งเช้าก่อนแสงตะวันจะโผล่พ้นขอบฟ้า ทั้งคู่ควบม้าออกจากค่าย...ไม่หันหลังกลับ
บ่าวคนสนิทเปิดประตูเข้ามาในห้องว่างเปล่า เห็นเพียงเตียงที่ยังอุ่นอยู่และผ้าห่มที่ยับย่นพลิ้วเบา ๆ ตามลมเช้า กลิ่นสุราอ่อน ๆ ยังลอยวนในอากาศ
ท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ทั้งคู่ควบม้าเคียงข้างกัน หัวเราะเบา ๆ อย่างเป็นอิสระ แสงแดดอ่อน ๆ สะท้อนดวงตาที่มองกันอย่างเต็มไปด้วยความหวัง
เต๊ด… เต๊ด… เต๊ด…
เสียงเครื่องพิมพ์ดีดดังขึ้นกะทันหัน
โมนาสะดุ้งสุดตัว...ภาพทุกอย่างถูกกลืนด้วยหมอกหนา เธอยืนอยู่กลางม่านควันสีขาว ก่อนจะค่อย ๆ เห็นภาพเบื้องหน้าชัดขึ้น
หยางจื่อหาวและหลี่เซี่ย… ขี่ม้าอยู่กลางทุ่งกว้าง ยิ้มให้กันอย่างมีความสุข ราวกับหลุดพ้นจากพันธนาการของโลกทั้งใบ
หัวใจเธออ่อนแสงลง ทว่ากลับอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
"ลาก่อน..." เธอพึมพำเสียงเบา "...หลี่เซี่ย"
ม่านหมอกค่อย ๆ เคลื่อนตัวบดบังภาพตรงหน้า เสียงลมพัดเบา ๆ ดังขึ้นแทนเสียงกีบม้าที่เคยเร่งเร้า หัวใจของโมนายังอบอวลด้วยภาพสุดท้ายที่เธอเห็น…ใบหน้ายิ้มละไมของหลี่เซี่ยที่ควบม้าเคียงข้างหยางจื่อหาวมุ่งสู่เส้นขอบฟ้า
จากนั้น...เธอรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างดูดดึงร่างเธอเข้าไปในความว่างเปล่าของม่านหมอกหนานั้น
“เฮือก!”
เธอสะดุ้งสุดตัว ลมหายใจหอบถี่ ก่อนเบิกตากว้างอย่างตกใจ
“เพดาน…นี่ฉันกลับมาแล้วเหรอ…” เธอพึมพำ ละสายตามองไปรอบห้อง “แปลกจัง ทำไมเพดานมันไม่คุ้นตาเลย…”
เตียงใต้ร่างก็นุ่มกว่าที่เคย ราวกับจมดิ่งลงไปในเมฆ เธอกำลังจะลุกขึ้น แต่กลับรู้สึกได้ถึงมือแข็งแรงของใครบางคนที่โอบเกี่ยวเอวไว้แน่น
“อร้ายยยยย!!”
โมนากระชากตัวลุกขึ้นนั่งหันขวับไปมองข้างกายอย่างตกตะลึง…ร่างชายหนุ่มเปลือยเปล่าแนบอยู่บนเตียงเดียวกัน ผ้าห่มร่นลงต่ำจนเห็นแนวเอวแข็งแรงที่น่าตกใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดคือ... ตัวเธอก็เปลือยเปล่าเช่นกัน!
“นี่นาย... นายเป็นใคร เข้ามานอนในห้องฉันทำไม!”
เธอถอยกรูดจนหลังชนหัวเตียง ชายหนุ่มขมวดคิ้วขณะยันตัวขึ้นพิงศอกมองเธอด้วยสายตางุนงงปนเอ็นดู
“ฮันฮัน... เธอเป็นอะไรอีกเนี่ย?”
“ฮันฮัน?” เธอทวนคำแล้วรีบพุ่งตัวไปยังห้องน้ำทันที
เสียงน้ำเปิดพร่างพรู เธอสบตาตัวเองในกระจกอย่างตกใจ ใบหน้านี้...ไม่ใช่โมนา!
“ไม่จริง... ฉันยังไม่ได้กลับมาอีกเหรอ…”
ในขณะที่ความจริงถาโถมเข้ามา ร่างสูงของชายหนุ่มก็ปรากฏอยู่เบื้องหลังในกระจก เขาเดินเข้ามาช้า ๆ แล้วโอบเอวเธอไว้แน่น ริมฝีปากแตะลงกลางแผ่นหลังอย่างแผ่วเบา
“เป็นอะไรไปครับ…ฮันฮัน?”
น้ำเสียงคุ้นเคยนั้นทำให้เธอหันกลับไปช้า ๆ เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
“…ท่านอ๋อง?!”
เธอเบนหน้ากลับมาสบตากับภาพตนเองในกระจกอีกครั้ง และใบหน้าหลี่เซี่ยในความรู้สึกภายในก็ดังขึ้นมา... สะท้อนชัด
เธอยกมือจับปลายผมตนเองเบา ๆ น้ำตารื้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“นี่มัน...ยังไม่จบอีกเหรอ…”
เธอสะอื้นเบา ๆ ราวกับร่างกายนี้ไม่ใช่ของเธอ แต่กลับถูกพันธนาการไว้อย่างแน่นหนาในอีกโลก