“บอกมา! แกไปทำอะไรให้เติ้งหนิงเฉิงอีก...ทางนั้นถึงได้โทรมายกเลิกงานแต่ง!” เสียงทุ่มกร้าวของผู้เป็นพ่อก้องลั่นทั่วห้อง พร้อมแววตาเกรี้ยวกราดที่ทำเอาโมนาสะดุ้งเฮือก
น้ำเสียงนั้นไม่ได้มีแค่ความโมโห แต่มันเต็มไปด้วย ความผิดหวัง ที่ฝังลึกเกินจะกลบซ่อนได้
โมนาชะงัก คำพูดติดอยู่ที่ลำคอ เธอหลุบตาลงเลี่ยงสายตาแข็งกร้าว
ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ คล้ายจะพูดไม่ออก
“…จะตอบยังไงดีล่ะ...คุณคะ…”
คำว่า “คุณ” ยังไม่ทันจางไปจากอากาศ บรรยากาศในห้องก็พลันเปลี่ยนไปทันที
ผู้เป็นพ่อขมวดคิ้วแน่น เสียงคำรามต่ำลอดไรฟัน
“คุณงั้นเหรอ? พอไม่พอใจก็เรียกพ่อว่าคุณงั้นเหรอ?!”
“ค่ะ…พ่อคะ” เธอรีบเปลี่ยนสรรพนามอย่างว่องไว
“หนูไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ เอ่อ…ลูกสาวของพ่อ ทำอะไรไว้กับคู่หมั้น...แต่หนูคิดว่า พวกเขาคงไม่ได้รักกันจริง ๆ หรอกค่ะไม่อย่างนั้น เติ้งหนิงเฉิงคงไม่ยกเลิกงานแต่งง่าย ๆ แบบนี้หรอก ลูกสาวของพ่อ...อาจจะเป็นฝ่ายมีคนอื่นก่อนก็ได้…”
เงียบ...
เงียบเสียจนได้ยินเสียงนาฬิกาเดิน
แล้วน้ำเสียงของพ่อก็ดังขึ้นอีกครั้ง...หนักแน่นกว่าเดิม
“ไปมีคนอื่นงั้นเหรอ... แกไปมีชู้ใช่ไหม?! ถึงทำให้เติ้งหนิงเฉิงยกเลิกงานแต่งกับแก!”
เขาลุกพรวดขึ้นทันที ฝีเท้าหนักหน่วงมุ่งตรงไปยังมุมหนึ่งของห้อง ก่อนจะหยิบ ไม้ยาว ที่คุ้นตาเธอขึ้นมาในมือ
ทันใดนั้น...
ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมก็พุ่งทะลักเข้ามา
ภาพซ้อนของการถูกตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าในวัยเด็ก
เสียงหวดไม้ เสียงร้องไห้ เสียงที่เธอไม่เคยได้ยินจากร่างนี้มาก่อน แต่อารมณ์ความกลัวกลับชัดเจนราวกับเป็นของตัวเอง
หัวใจของเธอสั่นไหว ร่างกายเริ่มถอยหนีโดยไม่รู้ตัว สัญชาตญาณเก่าถูกปลุกขึ้นมา
ร่างกายของ “ลูกสาวเขา” จดจำการลงโทษนั้นดีเกินไป
“โอ้โห…มาไม้ตีแล้วไง หนีสิ! รออะไรอยู่!”
โมนาหมุนตัววิ่งสุดแรงออกจากบ้านโดยไม่หันกลับมามอง
...แต่ยังไม่ทันพ้นรั้วประตูหน้า
บอดี้การ์ดสองคนที่รออยู่ก็พุ่งเข้ามากระชากแขนเธออย่างแรง
“ปล่อยนะ! ฉันบอกให้ปล่อย!!” เธอกรีดร้อง ดิ้นรนแทบเสียสติ
แต่ไม่มีใครฟัง
ภายในเสี้ยววินาที เธอก็ถูกหิ้วขึ้น และถูกแขวนร่างไว้บนกิ่งไม้หน้าบ้านราวกับเป็นโทษประจาน!
“นี่มันบ้าไปแล้ววววว!!” เธอร้องลั่น
“ยุคไหนกันเนี่ย!? ใครใช้วิธีแบบนี้อีก!?”
ไม้เรียวยาวสะบัดฟาดลงกลางหลังของเธอเสียงดัง เพียะ!
ทันทีที่แรงกระแทกกระทบลงบนผิว เธอสะดุ้งสุดตัว ร่างชักกระตุก
และนั่น...
คือจุดที่สติของเธอหลุดหายไปในทันที
ณ ห้องมืด
เธอลืมตาขึ้นในห้องที่ไม่รู้จัก มืด ทึบ อับชื้น และเงียบงัน
“นี่...ที่ไหน...” ก่อนที่เธอจะทันตั้งสติ
คลื่นแห่งความทรงจำ ของเจ้าของร่างเดิมก็ถาโถมเข้ามา
ชัดเจน
รุนแรง
ไร้การเตือนล่วงหน้า
ภาพในวัยเด็ก ความหวาดกลัว สีหน้าโกรธเกรี้ยวของพ่อ น้ำตา ความอ้างว้าง และเสียงไม้หวดลงบนแผ่นหลัง...วนซ้ำซาก
โมนากอดเข่าตัวเองแน่นในความมืด หายใจหอบถี่
“ความกลัวแบบนี้…ไม่ใช่ของฉัน…แต่ฉันรู้สึกทุกอย่าง…”
จู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังแทรกเข้ามาในโสตประสาทของเธอ...
"สมน้ำหน้า ตายไปได้สะก็ดี..."
ประโยคที่เธอเคยพูด เมื่อวันนั้น... วันที่เธอเปิดนิยายเรื่องนี้อ่านเป็นครั้งแรก
คำพูดที่เคยหลุดออกมาอย่างไม่ไตร่ตรอง กลับกลายเป็นเหมือนเข็มทิ่มแทงเธอในยามนี้
น้ำตาเอ่อคลอโดยไม่รู้ตัว เธอกัดฟันแน่น พึมพำเบา ๆ ด้วยเสียงที่สั่นเครือ
"ฉันไม่น่าพูดคำนั้นกับเธอเลย...หลี่เซี่ย..."
"ก่อนที่เธอจะกลายเป็นแบบนี้...เธอคงเจ็บปวดมาไม่น้อยเลยสินะ..."
"เธอมีค่า ก็ต่อเมื่อเธอเชื่อฟังพ่อเธอสินะ...ฉันขอโทษจริง ๆ..."
"ต่อจากนี้...ฉันจะช่วยเธอเอง"
ทันทีที่คำพูดสุดท้ายหลุดพ้นจากริมฝีปาก
เต๊ด... เต๊ด... เต๊ด...
เสียงคีย์บอร์ดดังขึ้นอีกครั้ง
ทุกอย่างรอบตัวหายวับไปในพริบตา
เธอลืมตาขึ้นอีกที…ก็พบว่าตัวเองยืนอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง
“ที่นี่บ้านใครอีก…”
เธอก้มมองเสื้อผ้าบนตัว...ไม่ใช่ชุดเดิม ก่อนจะมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านใน ชายหนุ่มคนหนึ่งเปิดประตูบ้านแล้วเดินตรงมาหาเธอ
ไม่พูดพร่ำ เขากระชากแขนเธอทันที
“ปล่อย! ปล่อยนะคะ!” เธอสะบัดแขนสุดแรง แต่เขาไม่ฟัง รวบตัวเธออุ้มขึ้นรถ ก่อนจะคาดเข็มขัดให้เสร็จสรรพและสตาร์ทรถอย่างรวดเร็ว
“มาทำไมอีก สิฮัน! แค่นี้ยังทำให้เติ้งหนิงเฉิงบ้าไม่พออีกเหรอ?!”
โมนานิ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชด
“ฉันจะไม่รู้หรอกค่ะ ว่าบ้านหลังนั้นเป็นของเติ้งหนิงเฉิง...อะไรนั่น”
เขาเบิกตากว้าง หันขวับมาจ้องเธอ
“อย่ามาแกล้งลืม! เธอก็ไม่ได้รักเขา แล้วทำไมยังตามตื้อเขาอยู่อีก?! หา!!”
เธอหันกลับมาถามด้วยเสียงคาใจ
“แล้วคุณล่ะเป็นใคร? ทำไมต้องมาว่าฉัน?”
คำถามนั้นทำเอาชายหนุ่มนิ่งไปพักหนึ่ง เขาขมวดคิ้ว มองเธอราวกับไม่แน่ใจว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับใคร
“…อย่ามาเล่นตลกนะ สิฮัน ผมไม่เล่นด้วย”
เอี๊ยด!
เสียงเบรกกะทันหันดังลั่น เมื่อรถอีกคันหนึ่งวิ่งมาตัดหน้า
รถคันนั้นคือของโม่โฉว
เขารีบพุ่งตัวออกจากรถ เดินเร็วเข้ามาเปิดประตูฝั่งที่เธอนั่งอยู่
“ฮันฮัน!” เสียงเขาดังพร้อมกับแววตาเป็นห่วง
“เป็นอะไรไหม... ผมพยายามขอร้องคุณลุงให้ปล่อยตัวคุณ ในที่สุดเขาก็ยอม” ก่อนเธอจะได้ตอบอะไร โม่โฉวก็โน้มตัวเข้ามากอดเธอไว้แน่น แล้วอุ้มร่างเธอขึ้นจากรถอย่างไม่ถามใคร
ณ บ้านของโม่โฉว
ระยะทางยาวไกลจากตัวเมืองสู่ชนบทเงียบสงบ โมนาหลับไปตลอดทาง...ไม่ใช่เพราะเหนื่อยล้าจากการเดินทาง แต่เพราะความอ่อนแรงทั้งร่างกายและจิตใจพาเธอเข้าสู่นิทราโดยไม่รู้ตัว
เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองไว้ใจเขา ตั้งแต่เมื่อไร
รู้แค่เพียงว่า...ผู้ชายคนนี้ คือคนเดียวในโลกแปลกประหลาดใบนี้ ที่เธอรู้สึกว่า พอจะพึ่งพาได้
เมื่อเธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง รถหรูคันใหญ่ก็กำลังแล่นเข้าสู่พื้นที่ขนาดกว้าง ต้นไม้ ดอกไม้ และสนามหญ้าร่มรื่นทอดตัวเรียงรายสองข้างทาง ประตูเหล็กเปิดโดยรีโมตที่โม่โฉวกดอย่างเงียบงัน
ไม่กี่นาทีถัดมา รถก็หยุดลงหน้าบ้านหลังใหญ่ที่ดูเรียบหรูแต่มีบรรยากาศอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
บานประตูเปิดออก
คนรับใช้รีบวิ่งเข้ามาหาอย่างสุภาพ
“สวัสดีครับคุณสวี” ชายในชุดยูนิฟอร์มโค้งให้อย่างรู้หน้าที่ ก่อนจะเปิดประตูรถให้
โม่โฉวเดินอ้อมมาฝั่งเธอ โน้มตัวลงอุ้มร่างเธอไว้ในอ้อมแขนแนบแน่น ไม่เอ่ยอะไรสักคำ เขาพาเธอขึ้นชั้นบน เดินตรงไปยังห้องนอนที่จัดไว้เป็นอย่างดี เตียงนุ่มขนาดใหญ่ถูกปูผ้าขาวสะอาดตา โม่โฉววางร่างเธอลงเบา ๆ ในท่านอนคว่ำ
มือใหญ่ค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าเธออย่างระมัดระวัง ไม่ใช่ด้วยความเร่าร้อน แต่ด้วยความห่วงใยที่ปะปนกับความรู้สึกผิดเงียบ ๆ
เขาเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาล ก่อนกลับมานั่งข้างเตียง ปลายนิ้วแตะครีมยาทาแผล แล้วลงมือบรรจงทาที่แผ่นหลังของเธออย่างแผ่วเบา
“อ๊ะ...เจ็บ...” เสียงของเธอหลุดรอดออกมาแผ่วเบา พร้อมกับความสั่นไหวในดวงตา
โม่โฉวชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงต่ำ
“ผมขอโทษ... ที่ผมช่วยคุณได้แค่นี้…”
เขานั่งนิ่ง
สายตาจับจ้องแผ่นหลังของเธอ
...พร้อมกับภาพบางอย่างที่แล่นกลับเข้ามาในหัว
ภาพวันแรกที่เขาเคยเห็นเธอร้องไห้หลังถูกพ่อของเธอตี เธอเดินเข้ามาหาเขา ทั้งน้ำตา ทั้งคำด่า ทั้งหมัดที่ทุบลงบนอกเขา
“นายมันไม่เคยเข้าใจฉันเลย! ใครก็ไม่เข้าใจทั้งนั้น!”
“ทำไมฉันต้องอดทนอยู่กับครอบครัวแบบนี้ด้วย!”
ในตอนนั้น เขาแค่เงียบ นั่งอยู่ตรงนั้น...ให้เธอร้องไห้ ทุบตี และระบายจนเหนื่อย เช่นเดียวกับตอนนี้ เขาไม่รู้จะพูดคำไหน จึงเลือกจะอยู่เงียบ ๆ ข้างเธอ