"คุณคะ...คุณมายืนตรงนี้ได้ยังไงคะใครพามาคะ มีญาติมาด้วยหรือเปล่าหรือว่าเพื่อน"
"..........." ริวไม่ได้ตอบแต่เลือกที่จะพยักหน้าตรงคำถามคือคำว่าเพื่อน
"มากับเพื่อนเหรอคะ แล้วเพื่อนไปไหนทำไมปล่อยให้ยืนอยู่ตรงนี้ แดดร้อนมากเลย?"
ริวปฏิเสธโดยการส่ายหน้าแทนคำพูดนั้น ทำให้เด็กสาวคิดว่าเขานั้นอาจจะพูดไม่ได้
แต่ไม่เป็นไรเธอยังมีความพยายามที่อยากจะสื่อสารกับเขา
"แล้วจะไปไหนคะจะไปฝั่งนู้นหรือเปล่า?" มะลิยังถามต่อเธอมองเขาอย่างรอคำตอบ
ซึ่งอีกฝั่งก็พยักหน้าให้กับเธอ
เอาล่ะเธอเข้าใจแล้วนอกจากเขาจะมองไม่เห็นแล้วยังพูดไม่ได้อีกด้วย มะลิมีสีหน้าสลดสงสารคนตรงหน้า
"งั้นไปฝั่งนู้นกันไหมคะหนูจะพาไป?"
"..........." ริวก็ยังคงตอบด้วยการพยักหน้าเป็นอันรับรู้ว่าเขาต้องการให้เธอพาข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง
ไม่รู้อะไรโดนใจเขายอมเล่นไปตามน้ำไปกับเธอ
"ไม่ต้องกลัวนะคะ หนูจะพาข้ามถนน"
จบประโยคเด็กสาวก็ถือวิสาสะพาตัวเองมายืนคู่กับคนตัวสูง ก่อนที่เธอจะยื่นมือเรียวเล็กของตัวเองไปจับที่มือใหญ่ พร้อมกับประสานนิ้วเข้าหากันอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก
ตึก! ตึก! ตึก!
ริวแทบจะเสียอาการเมื่อฝ่ามือเล็กยื่นมาจับประสานกับฝ่ามือใหญ่ของเขา
ตัวของเขาแข็งทื่อใบหน้าคมคายที่เคยขาวผ่องเปลี่ยนเป็นแดงก่ำลามไปถึงหู
ดวงตาคมเข้มก้มไปมองมือที่จับประสานกันเอาไว้ด้วยความแปลกประหลาดใจ เพียงแค่มือประสานกันทำไมหัวใจของเขาถึงได้เต้นโครมครามอย่างบ้าคลั่งได้ถึงขนาดนี้
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายกำยำของเขากันแน่
"เป็นอะไรหรือเปล่าคะหน้าแดงมากเลย คงร้อนสินะคะ ไปค่ะ...หนูจะพาไปฝั่งนู้น ตรงนู้นมีป้ายรถเมล์อยู่ค่ะ ไม่ร้อนเหมือนตรงนี้"
หลังจากที่คิดเองเออเองว่าเขาร้อนจนหน้าแดง คนตัวเล็กก็เอ่ยพูดพร้อมกับมองไปที่ถนนตรงหน้า
เมื่อเห็นว่ารถที่จอแจบนท้องถนนน้อยลง เธอก็กระตุกมือเขาเบาๆให้เดินลงมาบนถนนตรงทางม้าลาย พาเดินไปจนเกือบถึงเกาะกลางถนน มะลิก้าวเท้าเดินขึ้นไปก่อนแล้วหันมาหาอีกคน
"ยกขาสูงขึ้นหน่อยนะคะ ตรงนี้เกาะกลางถนน" เธอพูดพร้อมออกแรงรั้งมือใหญ่ให้ขึ้นตาม
คนตัวสูงก้าวเท้าขึ้นตามอย่างว่าง่าย สายตาคมเข้มของเขาไม่ได้มองเบื้องหน้า แต่กลับจับจ้องอยู่แต่ที่ใบหน้าจิ้มลิ้ม
สุดท้ายแล้วคนตัวเล็กก็พาร่างสูงใหญ่ของอีกคนมาถึงอีกฝั่ง โดยสวัสดิภาพไม่ได้ทุลักทุเลอย่างที่เธอคิด
"ถึงแล้วค่ะ นั่งตรงนี้ก่อนนะคะ" เธอดึงคนตัวสูงไปนั่งที่ป้ายรถเมล์ซึ่งเธอและเขาหันหน้าเข้าหากัน
ริวจ้องใบหน้าจิ้มลิ้มแทบจะไม่กระพริบตาผ่านแว่นดำที่ใส่ โดยจุดโฟกัสหลักก็คือปากเล็กๆที่อมอมยิ้มจนแก้มตุ่ย
ยิ่งดูใกล้ๆแบบนี้ความคิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นในสมองก็ผุดขึ้น เขาอยากดึงคนตรงหน้ามาจูบซะอย่างนั้น อยากจะรู้ในโพรงปากอวบอิ่มนั่นจะหวานสักแค่ไหน
"จะทำยังไงดีเขาพูดไม่ได้ตาก็มองไม่เห็น แล้วเพื่อนเขาคนไหนกันนะ" มะลิเริ่มยุกยิกมองซ้ายมองขวาเธอไม่รู้จะทำไงดี ใกล้เวลาที่เธอจะต้องไปรับน้องชายแล้ว
แต่จะทิ้งคนตรงหน้าไปก็ยังไงอยู่ ตาก็มองไม่เห็นแถมพูดไม่ได้อีกต่างหาก หรือว่าจะพาไปส่งตำรวจให้ตำรวจตามหาญาติ
"นายครับ..." เสียงชายหนุ่มที่อยู่ในชุดสูทเต็มยศแทรกขึ้นมาทำให้เด็กสาวหันไปมอง
ฟุโดข้ามมาจากอีกฝั่งหนึ่งของถนนมายืนอยู่ตรงหน้าระหว่างเขาทั้งสอง
ริวมีสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอาการอะไรออกมา
"คุณเป็นใครคะ ใช่เพื่อนคุณคนนี้หรือเปล่า?"
"เพื่อน! อ๊ะ เอ่อ...ชะใช่ครับผม เป็นเพื่อนของนาย"
"โล่งอกไปที คุณไปไหนมาคะทำไมใจร้ายปล่อยให้เพื่อนของคุณยืนตากแดดอยู่ตั้งนาน?"
"ผมน่ะเหรอครับใจร้าย?" ปลายนิ้วชี้เข้าหาตัวเอง
"ก็ใช่สิค่ะ...ยังจะว่าไม่ใจร้ายอีกเหรอ คุณปล่อยให้คนพิการทางสายตา แถมพูดไม่ได้มายืนตากแดดรอคุณตั้งนาน แบบนี้จะไม่เรียกว่าใจร้ายได้ยังไงล่ะคะ" เด็กสาวพูดประโยคยาวเหยียดตำหนิคนตรงหน้า เผยอารมณ์โกรธเล็กๆออกมา
".........." ฟุโดถึงกับอึ้งเมื่อฟังคำต่อว่าของเด็กสาวพูด
นี่มันเรื่องอะไรกันใครตาบอดใครเป็นใบ้เขางงไปหมดแล้ว
เมื่ออยู่ๆก็โดนว่า...ว่าเป็นคนใจร้ายจึงหันไปมองเจ้านายหนุ่ม แล้วทุกอย่างก็เริ่มกระจ่างเมื่อเห็นรอยยิ้มตรงมุมปากของเจ้านาย
"คุณสงสารเลยพามานั่งตรงนี้ใช่ไหมครับ? ขอโทษด้วยนะครับ พอดีผมปวดท้องหนักมากวิ่งไปเข้าห้องน้ำที่บ้าน ถ้าพากลับไปด้วยก็กลัวจะช้าเกินไปเลยให้ยืนรออยู่ตรงนั้น ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยพามานั่งหลบแดดอยู่ตรงนี้"
"ไม่เป็นไรค่ะ...หนูแค่กลัวว่าเขาจะโดนรถชน ยังไงคุณก็มาแล้วหนูขอตัวไปก่อนนะคะ"
ใบหน้าจิ้มลิ้มหันมามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนที่จะยื่นมือไปสะกิด "คุณคะเพื่อนคุณมาแล้วหนูไปก่อนนะคะ"
พูดจบก็เตรียมตัวจะยันตัวลุกขึ้นยืนทว่ามือหนากลับคว้าเข้าที่มือของเธอ มะลิเอียงคอมองอย่างสงสัย
"จะขอบคุณเหรอคะ ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะแค่นี้เอง" เมื่อรู้ว่าเขาพูดไม่ได้เลยคิดเองเออเองขึ้นซะเลย
แต่ทว่ามือใหญ่กลับไม่ยอมปล่อยมือเธอ จนเธอต้องหันไปมองเพื่อนเขา
"ผมไม่รู้ว่านายจะทำอะไร" ฟุโดตอบ เขาก็ไม่รู้จริงๆนั่นแหละ
"เอ่อ...มีอะไรหรือเปล่าคะปล่อยมือหนูก่อนนะ หรือว่าหิว...หิวใช่ไหมคะ?" เด็กสาวเลือกที่จะบิดมือออกจากการเกาะกุมของมือใหญ่ก่อนที่จะยิ้มแห้งๆเริ่มทำตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าคนตรงหน้าต้องการอะไร
สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะคว้ามือเขาพร้อมกับยัดกล่องขนม ที่ด้านในบรรจุพายสับปะรดกับบราวนี่ไว้ในมือของคนตรงหน้า
"นี่ขนมนะคะ หนูทำเองทั้งหมดเลยหนูแบ่งคุณให้1กล่องนะคะ...อ๊ะ!!!"
ปากเล็กๆกำลังพูดบอก แต่ก็ต้องตกใจหยุดชะงักนิ่งดวงตากลมโตเบิกกว้าง
เมื่อคนตรงหน้าของเธอยื่นมือมาคว้าไอ้ก้านเล็กๆสีขาวที่ด้านในหอมหวาน ออกจากปากของเธอแล้วเอาเข้าไปในปากของตัวเองแบบที่เธอไม่ทันตั้งตัว
ใช่ว่าคนตัวเล็กอย่างมะลิจะตกใจอยู่คนเดียว ฟุโดที่อยู่กับนายน้อยของเขามา29ปีก็ตกใจแล้วก็อึ้งไปด้วยเช่นกัน เขาไม่เคยเห็นนายน้อยของเขาทำแบบนี้เช่นกัน
"........." ริวมองคนตรงหน้าที่ชะงักนิ่งไปด้วยความตกใจ เขาอาจจะทำสิ่งที่เธอไม่คาดคิด และเขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อกับการกระทำของเขาเอง
ตอนที่ทำเขารู้แต่ว่าตัวเองละสายตาจากปากเล็กๆนั้นไม่ได้ อย่างที่บอกเขาอยากจะคว้าเธอมาจูบแต่ก็ทำไม่ได้ เลยเลือกที่จะทำแบบนี้เป็นการจูบทางอ้อม
"ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ" ไม่ปล่อยให้เงียบนานฟุโดรีบแก้สถานการณ์ทันที และนั่นก็ทำให้คนที่ตกใจชะงักนิ่งกลับมามีสติอีกครั้ง
"แต่เขามองไม่เห็นแล้วมาหยิบได้ยังไงคะ?" เธอถามฟูโด คิ้วสวยขมวดเข้าหากันเป็นปม
"เสียงกระมังครับหรืออาจจะเป็นกลิ่นหอมจากปากคุณ" มะลิฟังแบบนิ่งๆยกเหตุผลมาขบคิด เคยได้ยินคนพูดอยู่ว่าคนที่มองไม่เห็นมักจะหูดี และเพราะพูดไม่ได้คงอยากกินเลยต้องทำแบบนี้
"อยากกินลูกอมใช่ไหมคะ?" เสียงหวานถูกเปล่งออกมาโดยไม่มีสีหน้าโกรธแต่อย่างใด กลับสงสารคนตรงหน้าเข้าไปใหญ่
"........." ริวมองคนตรงหน้าที่หยิบกระเป๋าสะพายเอามาไว้บนตัก ค้นหาอะไรบางอย่างไม่นานก็หยิบขึ้นมา มือนุ่มนิ่มยื่นมือมาจับมือของเขาแล้วยัดอมยิ้มสองอันให้
"นี่อมยิ้มค่ะในกระเป๋าหนูมี2อัน หนูให้คุณหมดเลย" พูดจบก็ฉีกยิ้มหวานทั้งที่รู้ว่าคนตรงหน้าไม่มีทางได้เห็น
"..........." ริวมองรอยยิ้มนั้นด้วยหัวใจที่เต้นเร็วและแรง
"ถ้าเรามีโอกาสได้เจอกันอีกหนูจะเอาอมยิ้มให้อีกนะ แต่วันนี้ต้องไปแล้วค่ะ เริ่มเย็นมากแล้ว" พูดจบก็ยันตัวลุกขึ้นยืนหันไปพูดกับฟูโด
"หนูไปก่อนนะคะ บ๊ายบายค่ะ" จบคำพูดเด็กสาวยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูหมุนตัววิ่งกลับไปทางเก่า เธอเสียเวลากับตรงนี้พอสมควรเธอต้องรีบไปรับน้องชายของเธอแล้ว