345

2608 Words
ไม่นานอย่างที่คิดวิศรุตก็พาคุณหมอสาวคนใหม่มายังโรงพยาบาลเล็กๆ ในอำเภอเมือง อาคารปูนสีขาวสองชั้นตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาน้อยใหญ่ ทางเข้าโล่งโปร่งไม่มีรั้วกั้นวิศรุตดับเครื่องรถยนต์ก่อนก้าวลงจากรถตามด้วยคุณหมอสาวที่ใจชื้นขึ้นมาหน่อย เพราะเธอจินตนาการสถานที่ต่างๆ ที่จะต้องพบเจอไว้แย่กว่านี้มาก แต่ผิดคาดมันดีกว่าที่เธอคิดไว้ ร่างโปร่งก้าวจากรถเดินตามวิศรุตเข้าไปภายในโรงพยาบาล ก่อนที่เขาจะพาเธอไปดูห้องต่างๆ ทั้งห้องตรวจที่มีเพียงสองห้อง ห้องจ่ายยาซึ่งเป็นที่เดียวกับห้องจ่ายเงิน ห้องเก็บของ ห้องเก็บยาต่างๆ ที่มีพยาบาลสาวนั่งรออยู่“คุณมิ้ม นี่หมอปลายฟ้าครับ...หมอฟ้านี่คุณมิ้ม พยาบาลผู้ช่วยครับ”“สวัสดีจ้ะคุณหมอ ได้เจอสักทีได้ยินหมอวิทพูดถึงอยู่ว่าคุณหมอจะมาแทนหมอยุ้ย”“สวัสดีค่ะคุณมิ้ม ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” คุณหมอสาวเอ่ยตอบ มินตราพยาบาลหน้าตาจิ้มลิ้ม ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนที่นี่เช่นเดียวกับวิศรุตชั้นสองของโรงพยาบาลมีไว้สำหรับผู้ป่วยที่จะต้องนอนดูอาการ แม้จะไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็เพียงพอสำหรับคนไข้เนื่องจากเป็นห้องรวมเอาไว้นอนรวมกันทั้งสองพากันเดินทั่วโรงพยาบาลจึงได้เจอกับลุงป้าน้าอาที่นอนรักษาตัวอยู่และเมื่อพวกเขาเห็นคุณหมอหนุ่มอย่างวิศรุตต่างก็ยกมือไหว้กันหมดจนเขารับไหว้แทบไม่ทัน พาลให้ปลายฟ้าต้องยกมือขึ้นไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ไปด้วยอีกคน“ลุงๆ ป้าๆ จ๊ะ นี่หมอปลายฟ้าจ้ะ หมอฟ้าจะมาทำงานที่นี่แทนหมอยุ้ยนะจ๊ะ”“สวัสดีค่ะคุณลุงคุณป้า” มือเรียวพนมขึ้นอีกครั้งหลังจากเอ่ยจบ“หวัดดีครับหมอ”“หวัดดีจ้ะหมอหนูฟ้า” หญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้น เรียกเสียงหัวเราะให้กับหลายคนนัก ไม่เว้นแม้แต่คุณหมอทั้งสอง ก่อนที่ทั้งคู่จะขอตัวแยกออกมาเพื่อให้คนไข้ทั้งหลายได้พักผ่อนเนื่องจากใกล้เวลาอาหารกลางวันแล้ววิศรุตจึงชวนคุณหมอสาวออกไปหาอะไรทาน ก่อนจะพาเธอไปที่บ้านพักที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงพยาบาล เมื่อหมอหนุ่มส่งหญิงสาวถึงที่เขาก็ขอตัวกลับมาที่โรงพยาบาลเพื่อมาตรวจคนไข้ต่อบ้านพักสีครีมชั้นครึ่ง ภายในมีลักษณะเหมือนบ้านทั่วไปที่จะมีห้องนั่งเล่น ห้องครัว และห้องนอนและจุดที่เธอสังเกตเห็นเด่นชัดหลังจากเข้ามาก็ตรงที่มีบันไดไว้ให้ขึ้นไปบนห้องใต้หลังคาได้นี่แหละเมื่อเห็นดังนั้นปลายฟ้าไม่รอช้า มือเรียวจับบันไดให้แน่นดูดีแล้วว่ามันจะไม่พาร่างโปร่งของเธอหล่นลงมาแน่ๆ แสงทองลอดผ่านหน้าต่างบานเดียวที่ยาวตั้งแต่ผนังไปจนถึงเพดาน ทำเอาหญิงสาวที่เพิ่งปีนขึ้นมาหลบตาจากแสงแดดแทบไม่ทันภายในห้องทำจากวัสดุไม่ต่างไปจากด้านล่างนั้นคือผนังเป็นปูนสีขาว ส่วนพื้นนั่นเป็นไม้ทำให้ดูแปลกแต่อบอุ่นไปอีกแบบ แต่ที่ต่างกันก็คงเป็นฝุ่นที่เขรอะใช้ได้ ร่างโปร่งหันหน้าหลังสำรวจดูว่ามีสิ่งใดภายในห้องบ้าง แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากพรมสีขาวที่วางอยู่ตรงพื้น ก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปใกล้ หย่อนก้นงามลงอย่างเบาเพราะกลัวว่ามันจะถล่มลงไปในวันแรกที่เธอเพิ่งมาถึง“เอาไว้นอนดูดาวสินะ”ปลายฟ้าเอ่ยก่อนจะหลับตาลง นึกภาพดวงดาวน้อยใหญ่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าก่อนที่ภาพจะตัดไปตอนที่เธอยังเป็นเด็ก“ระวังลูก...นั่นไงพ่อบอกแล้วให้ระวัง เจ็บมั้ยลูก” ภาคินเอ่ยเตือนลูกคนกลาง ขณะที่หนูน้อยกำลังวิ่งเล่นอยู่ในบริเวณสวนหลังบ้าน และก็จนได้ผู้เป็นพ่อพูดยังไม่ทันจะขาดคำ พื้นที่เฉอะแฉะไปด้วยน้ำฝนทำให้หนูน้อยลื่นหงายหลังก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นหญ้า“ลูกฟ้าเจ็บมั้ย”“ฮื่อๆ เจ็บค่ะ” หนูน้อยปลายฟ้าปล่อยโหเมื่อรู้สึกถึงความเจ็บที่เพิ่มขึ้นมา“ไม่เป็นไรนะลูก ไม่เจ็บแล้วเพี้ยง”“ฮื่อๆๆ”“อะไรนะ ดวงดาวฝากบอกว่า อย่าร้องเลยนะปลายฟ้า” ภาคินเอ่ยแอบอ้างดวงดาวบนท้องฟ้าเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของลูกสาวและได้ผล หนูน้อยค่อยๆ หยุดร้องไห้เหลือเพียงเสียงสะอื้นเท่านั้นที่เล็ดลอดออกมา“ดวงดาวฝากบอกว่า ถ้าคราวหน้าปลายฟ้าระวังตัว ปลายฟ้าก็จะไม่ล้มแบบนี้อีก เข้าใจมั้ยจ๊ะ...พี่ดวงดาวฝากมาบอกเข้าใจมั้ยลูกฟ้า”“ฮึกๆ เข้าใจค่ะ” ปลายฟ้ารับคำก่อนจะใช้มือเล็กๆ ปาดน้ำตาที่อาบอยู่ตรงพวงแก้มออก“เก่งมากลูก ล้มแล้วก็ลุกขึ้นมา ส่งมือมาลูก...เก่งมาก”ก่อนที่ภาพจะค่อยๆ เลือนหายไป นี่คงเป็นเหตุการณ์แรกที่เธอจำได้ว่าผู้เป็นพ่ออย่างภาคินใช้ดวงดาวเป็นตัวช่วยเมื่อเธอเริ่มที่จะงอแง ซึ่งมันก็จะได้ผลทุกครั้ง และเมื่อปลายฟ้ามองดูดาวทำให้นึกถึงพ่อได้เป็นอย่างดี ความทรงจำอันแสนสุขในวัยเด็กหลังจากรู้ประโยชน์ของหน้าต่างบานใหญ่แล้ว ปลายฟ้าจึงค่อยๆ ลงมาจากห้องใต้หลังคาก่อนจะเดินสำรวจรอบๆ บ้าน เมื่อหนังท้องตึงหนังตาก็ย่อมหย่อนเป็นธรรมดา ร่างโปร่งเดินตรงเข้าไปในห้องนอนที่ดูเหมือนว่าจะมีคนมาทำความสะอาดเอาไว้ให้เธอแล้ว ผ้าปูสีขาวผืนใหม่ถูกร่างโปร่งนอนทับเอาไว้ก่อนจะเข้าสู่นิทราอย่างรวดเร็ว พฤกษ์พิรุณ ไร่ชาผืนใหญ่สุดลูกหูลูกตาในอำเภอปางมะผ้า ที่แม้จะมีคนงานเกือบร้อยแต่ก็ยังดูน้อยเมื่อเทียบกับพื้นที่ของทั้งไร่ ชาอู่หลงถูกปลูกให้เป็นขั้นบันได เรียงรายกันอย่างสวยงามด้านบนสุดของไร่มีบ้านไม้หลังใหญ่ตั้งอยู่เพียงหลังเดียว ซึ่งจะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าของไร่อย่าง ปฐวี อารัญเวธน์ พ่อหม้ายเนื้อหอม ที่หอมทั้งเนื้อตัวและเนื้อที่ของเขา เพราะนอกจากจะเป็นที่ดินที่อุดมสมบูรณ์แล้วทางด้านหลังของไร่ชายังมีธารน้ำไหลผ่านตลอดปี จนผู้มีอิทธิพลหลายรายอยากจะได้เอาไว้ครอบครองรวมทั้งน้องชายต่างมารดาอย่าง ปฐพี อารัญเวธน์ เจ้าของรีสอร์ตหลายแห่ง ที่มักจะไม่ลงรอยกับเขาตั้งแต่วันที่พ่อกับแม่ของเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตขณะที่กำลังเดินทางไปทำบุญครบรอบวันตายให้กับแม่ของปฐวี เพราะหลังจากวันนั้นปฐวีก็เหมือนตัวคนเดียว ถึงแม้จะมีญาติผู้ใหญ่คอยให้ความช่วยเหลือ แต่ก็ไม่เท่าปฐพีที่มี พิศาล ปู่ของพวกเขาคอยรักดูแลเอาใจใส่และให้ความช่วยเหลือตลอดเวลาจนเกือบจะเสียคนพื้นที่ไร่ชาที่กินเนื้อที่จนเต็มกว่าร้อยไร่ จากที่ตอนแรกปลูกไว้เพียงไม่กี่สิบไร่ก่อนจะขยายขึ้นเป็นหลายเท่าตัวในเวลาไม่ถึงสามปี เนื่องจากเจ้าของไร่ขะมักเขม้นในการปลูกชาอย่างมาก เพื่อหวังว่าสักวันเขาจะต้องได้ส่งผลผลิตจากพวกมันออกนอกประเทศอย่างที่ตั้งใจเอาไว้แม้หลังๆ เขาจะทำงานในสำนักงานซึ่งอยู่ถัดลงมาจากบ้านพอสมควร เพื่อตรวจดูเรื่องเอกสารซะเป็นส่วนใหญ่ ไม่ต้องได้ลงมือทำทุกขั้นตอนเองแล้ว เพราะมีคนงานมากมายมาคอยแบ่งเบาภาระ ทั้งคนไทยแท้ ไทใหญ่ ไทยวน แต่เมื่อว่างจากงานประจำเขาก็มักจะลงมาตรวจดูความคืบหน้าภายในไร่เหมือนเช่นวันนี้“อ้าวพ่อเลี้ยง หวัดดีครับ”“หวัดดีจ้ะพ่อเลี้ยง มาเย็นเลยนะจ๊ะ”“เพิ่งเคลียร์งานเสร็จน่ะแม่บัว” เจ้าของไร่ชาตอบกลับหญิงสูงวัยคนงานในไร่ ขณะที่ขาก็ยังไม่หยุดเดิน“เห้ย เอ็งได้เงินไปแล้วทำไมไม่เอามาให้ข้าสักทีวะไอ้กล้า”“พรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปในเมือง ข้าจะเอามาให้เอ็งพรุ่งนี้แหละ ยานะเว้ยไม่ใช้ผักผลไม้ถึงจะได้รวดเร็วขนาดนั้นอะ” คนชื่อกล้าตอบออกไปเสียงเบาจนเกือบจะกระซิบ แต่ก็มิวายดังเข้าไปในหูของเจ้าของไร่“มาซุบซิบอะไรกันตรงนี้ ทำไมไม่ไปทำงาน ละยาเยออะไร ชั้นบอกแล้วใช่มั้ยว่าคนงานไร่นี้จะต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด” ปฐวีพูดเสียงเรียบ แต่แววตากลับดุดัน ทำเอาคนที่ได้ยินเสียวสันหลังไปตามๆ กันถึงปกติแล้วชายหนุ่มจะเป็นกันเองกับลูกน้องและมีบ้างที่จะต้องดุเพื่อจะได้คุมคนเป็นร้อยอยู่ แต่ก็ออกจะเป็นเสือยิ้มยากเสียด้วยซ้ำเพราะถึงจะสนิทชิดเชื้อเพียงใดก็ยากนักที่จะเห็นพ่อเลี้ยงของพวกเขายิ้ม และเมื่อยามเสือโกรธ น้ำเสียงที่เคยไพเราะกลับกลายเป็นเสียงเรียบเย็นๆ ทำเอาคนได้ยินขนลุกขนพองกันยกใหญ่ยาเสพติดกับปฐวีเป็นของที่ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ มันยังคงเป็นเรื่องแรกและเรื่องเดียวที่เขาขอกับคนงานในไร่ทุกคนตั้งแต่เริ่มทำไร่ชาใหม่ๆ ว่า “อยากยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ไม่ว่าจะอดยากไม่มีเงินหรืออะไรก็ตามให้มาบอกชั้น”“เอ่อ ขอโทษครับพ่อเลี้ยง” ชายอีกคนเอ่ยก่อนจะพากันแยกตัวแต่จะมีเพียงสองคนเท่านั้นที่ยังไม่เคยเห็นด้านมืดของปฐวี นั่นคือ ปริชมน อารัญเวธน์ ลูกสาววัยห้าขวบของเขา และ นฤมน ภรรยาที่เสียชีวิตหลังจากที่คลอดลูกสาวให้กับเขาได้ไม่ถึงชั่วโมงห้าปีก่อน‘คุณเป็นญาติของคนไข้ใช่มั้ยครับ’‘ครับ ผมเป็นสามี มีอะไรรึเปล่าครับหมอ’‘คนไข้มีภาวะครรภ์เป็นพิษ เราจะต้องเอาเด็กออก เพื่อช่วยชีวิตเด็กไว้น่ะครับ’‘อะไรนะครับ’เหมือนฟ้าผ่ากลางใจ ปฐวีแทบล้มทั้งยืนเมื่อจะต้องเลือกระหว่างนฤมน ภรรยาที่เขารักมากที่สุด กับลูกน้อยในท้องของเธอ‘คุณหมอคะคนไข้ความดันสูงมากค่ะ’นั่นเป็นเสียงเดียวที่เขาได้ยินก่อนที่จะไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีก ใบหน้าของภรรยารักลอยเข้ามาในสมองเขาอย่างรวดเร็ว หญิงสาวหน้ามน ตาเป็นประกายที่ทำให้เขาตกหลุมรักตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันเมื่อสิบปีก่อน ปากเล็กที่เขาเคยลิ้มลอง พวงแก้มใสที่แม้จะผ่านไปกี่ปีเขาก็ยังคงสูดดมมันด้วยความรัก ผมสีน้ำตาลเข้มที่มือหนาของเขามักจะคอยลูบมันเวลาที่ดึงเธอเข้ามากอด ยิ่งคิดน้ำตาก็ยิ่งไหลมันจะต้องไม่เป็นเพียงแค่ภาพในความทรงจำ ‘อย่าเป็นอะไรนะนาถ’“คุณพ่อคะ” เสียงเรียกสติให้กลับมา เมื่อปฐวีหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต“อ้าว หนูมนกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก”“เมื่อตะกี้เองค่ะ คุณพ่อทำอะไรอยู่คะ”“คุณพ่อก็รอหนูมนอยู่ไงคะ” ปฐวีกล่าวออกไป แทนที่จะบอกว่า ‘คิดถึงแม่ของหนูอยู่ไงคะ’ ใบหน้าที่เหมือนกันจนเขานึกดีใจที่แม้ภรรยารักจะจากไป แต่ก็ยังทิ้งสิ่งมีค่าแทนตัวเธอให้เขาได้ระลึกถึงอยู่เสมอปริชมน อารัญเวธน์ หนูน้อยอารมณ์ดี เธอร่าเริงคอยสร้างสีสันในกับคนในบ้านอยู่บ่อยๆ ต่างจากแม่ของเธอที่เป็นคนเงียบๆ เรียบร้อยพูดน้อย แต่ก็น่ารักในสายตาของปฐวี ถึงแม้หนูน้อยจะขาดแม่ แต่เธอก็มิเคยขาดความรักเลย ด้วยความที่ผู้เป็นพ่ออย่างปฐวีคนให้ความรักเธออย่างเต็มที่ ยังไม่รวม หินผาและผกามาศ ที่มีศักดิ์เป็นปู่และย่าของหนูน้อยอีกสองคน เมื่อพ่อและแม่ของปฐวีเสีย ลุงของเขาอย่างหินผาก็รับเขามาอยู่ด้วยเหมือนลูกคนหนึ่งในไร่ชาแห่งนี้ ที่แต่ก่อนเป็นเพียงพื้นที่ว่างเปล่าของทางตระกูล“หนูมนไปอาบน้ำก่อนไปลูกไป ปิ่นพาน้องไปอาบน้ำที” ผกามาศเอ่ยหลังจากปล่อยให้พ่อลูกได้กอดกันสักพักหนึ่ง ให้ปิ่นมุก หญิงสาวรับใช้ในบ้านจะมารับหนูน้อยปริชมนไป ก่อนที่หินผาผู้เป็นสามีและลุงของปฐวีจะเดินตามเข้ามา“ไงเรา คิดถึงแม่นาถเขารึพ่อวี” หินผาทักขึ้นเมื่อเห็นหลานชายคนเดียวนั่งอยู่ตรงระเบียงและยังหันหน้าออกไปทางไร่ชาที่ไกลสุดขอบฟ้าของชายหนุ่มอีก ก็เดาไม่ยากเลยว่าเขาจะต้องคิดถึงวันคืนที่เคยมีกันและกันระหว่างปฐวีและนฤมนอย่างแน่นอน“...ครับลุง” ปฐวีถอนหายใจก่อนตอบออกไป แม้เธอจะจากเขามานานหลายปีแต่เขาก็มิอาจลืมเธอ ผู้หญิงที่เป็นรักแรกของเขาได้เลย และยังตั้งมั่นกับตัวเองไว้ว่าจะไม่รักใครอีกตลอดไป“เห้อ เอาเถอะ ลุงว่าไปกินข้าวกันดีกว่า สักพักหนูมนคงจะออกมาแล้วล่ะ” ผู้เป็นลุงเอ่ยพร้อมกับตบบ่าหลานชายอย่างอดสงสารไม่ได้ ทางที่ดีเปลี่ยนเรื่องไปเลยดีกว่าอาหารมื้อเย็นหลายอย่างถูกวางลงบนโต๊ะไม้สักใหญ่ตรงระเบียงบ้านอีกฟากหนึ่งโดยปิ่นมุกหลังจากพาคุณหนูน้อยไปอาบน้ำเรียบร้อยแล้วโดยอาหารที่เป็นเมนูยอดนิยมประจำบ้านคงจะหนีไม่พ้น แกงโฮะชามใหญ่ที่วางได้ไม่นานก็ถูกตักออกไปจนเกือบหมด ทำเอาสาวใช้อย่างปิ่นมุกยิ้มเป็นปลื้มมิได้ ที่ผู้เป็นนายทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยเพราะฝีมือเธอเมื่อกินอิ่มได้นั่งย่อยสักพักคู่สามีภรรยาก็พากันเข้าห้องอาบน้ำนอน ปฐวีเองก็พาลูกสาวเข้านอนเช่นกัน เพราะเขามีหน้าที่สำคัญก่อนที่ปริชมนจะนอนหลับเข้าสู่ห้วงนิทรานั่นคือ การเล่านิทานก่อนนอน“วันนี้อยากฟังเรื่องอะไรคะหนูมน”“อื้มมม หนูมนอยากฟังเรื่องนี้ค่ะ” มือน้อยหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากกล่องกระดาษ คลังนิทานของเธอ“ไหนคะ...สุนัขจิ้งจอกกับพวงองุ่น” ปฐวีหยิบมาอ่านอย่างออกอรรถรสไม่นานนักลูกสาวสุดที่รักก็คอพับเข้าหาอกอุ่นของผู้เป็นพ่อไปเสียแล้ว ปฐวีมองภาพนั้นก็อดคิดไม่ได้ ‘ถ้านาถยังอยู่ก็คงดี ลูกเราน่ารักมากเลยนะ’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD