ปัง!
ผมก้าวเท้าเข้ามานั่งในรถด้วยอารมณ์หงุดหงิด เธอร้ายกว่าที่ผมคิด ถ้าทุกอย่างเป็นแบบที่ผมกำลังสงสัยนั่นคือเธอใจเย็นถึงขนาดรออยู่ในรถแล้วอาศัยจังหวะที่คนของผมขับรถออกไปตามหาเธอ ขับรถของยูสึปะปนไปกับรถคนของผม ไหนจะเรื่องรอยเท้าที่สวนหลังบ้าน ที่เธอคงตั้งใจทำให้คนของผมหลงประเด็น หรืออาจเป็นแผนการที่นำไปสู่คำสั่งที่ผมสั่งให้คนของผมขับรถออกไปตามหาเธอด้านนอกเพราะคิดว่าเธอหนีออกไปแล้ว ทั้งที่แท้จริงแล้วตอนนั้นเธอคงยังอยู่ในรถ และรอโอกาสที่จะได้ออกไปต่างหาก
Rrrr~
“ว่าไง” ไซโตะกรอกเสียงลงโทรศัพท์ที่เขาเพิ่งกดรับสาย ก่อนที่ผมจะเห็นว่าเขากดวางสายทั้งที่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“พบรถของยูสึแล้วครับ”
รายงานจบไซโตะก็เร่งความเร็วของรถให้พุ่งทะยานไปข้างหน้าโดยไม่ต้องรอให้ผมสั่งอีกเหมือนเคย
หัวใจของผมเต้นเร็วและแรงด้วยความโมโห ใจหนึ่งก็เริ่มกลัวว่าตัวเองจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ถ้าหากว่าได้เจอเธออีกครั้ง แต่อีกใจก็กำลังภาวนาขอให้ได้เจอเธอจริงๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
เอี๊ยดดด~
ไซโตะแตะเบรกเมื่อพาผมมาถึงที่หมาย ซึ่งทันทีที่ตัวรถจอดสนิท คนของผมที่ยืนอยู่ด้านนอกเพราะจอดรถอยู่บริเวณนี้ก็รีบเดินเข้ามาเปิดประตูให้ผมทันที
“ยังไม่พบตัวคุณนามิครับคุณไดสึเกะ”
นี่พวกมันต้องเห็นว่าผมถือปืนขึ้นมาจ่อที่หัวใครสักคนรึยังไงถึงจะกระตือรือร้นกันมากกว่านี้!
“ถ้ายังไม่เจอตัวนามิในยี่สิบนาที ฉันจะเป่าสมองพวกนายทิ้งเรียงตัว” ผมเค้นเสียงพูดก่อนจะเดินตรงไปที่รถของยูสึแล้วกระชากประตูรถให้เปิดออก ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเธอคงไม่อยู่ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะเดินมาเปิดให้อารมณ์เสียกว่าเดิมทำไม
ปัง!
เสียงปืนที่ได้ยินทำให้ผมและทุกคนในที่นี้หันไปมองยังที่มาของเสียง ก่อนที่พวกเราจะวิ่งกรูกันไปที่นั่น
หัวใจของผมกระตุกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม มันเต้นแรงมากอย่างที่เมื่อครู่ตอนที่ผมนั่งมาในรถมันยังไม่เต้นแรงขนาดนี้เลย
“ชิโน” ไซโตะร้องเรียกเมื่อเห็นว่าชิโน หรือก็คือคนของผมเองนอนเจ็บอยู่ที่พื้น สาเหตุก็เพราะเขาถูกยิงที่ขา
“คุณนามิหนีไปทางนั้นครับ” ชิโนรีบบอกพร้อมกับชี้ตรงไปทางซ้ายมือ ไม่รู้ว่าผมควรจะดีใจรึเปล่าที่ทุกอย่างยังไม่ได้เลวร้ายเกินกว่าผมจะรับมือ และเธอเองก็ยังไม่ได้หนีหายไปไหนได้เกินกว่าที่จะทำให้ผมรู้สึกยุ่งยากในการตามหา หรือว่าผมควรจะโกรธเธอมากกว่าเดิมที่กล้ายิงคนของผม!
ผมรีบวิ่งออกมาตามเส้นทางที่ชิโนบอก ถ้าเธอเพิ่งยิงชิโนและหนีไป เธอก็ไม่มีทางไวกว่าผมแน่ หรือถ้าเก่งกาจขนาดนั้นก็รับรองว่าจับตัวได้เมื่อไหร่ แม้แต่คลานผมก็จะไม่ให้โอกาสนั้นกับเธออีก!
“นามิ!” ผมตะโกนเรียกเธอเสียงดังลั่นเมื่อเห็นว่าเธอวิ่งนำหน้าผมอยู่ไม่ไกล ซึ่งในมือของเธอมีปืนของผมอยู่จริงๆ
“หยุดคิดจะหนีแล้วกลับไปกับฉันเดี๋ยวนี้นามิ” ผมพยายามแล้วที่จะพูดกับเธอดีๆ พยายามมากที่จะไม่วู่วาม แม้จะเห็นอยู่เต็มสองตาว่าเธอกำลังยกปืนในมือขึ้นมาชี้หน้าผม
“อย่าฝันไปหน่อยเลย” นามิบอกเสียงสั่น เธอหันหน้ากลับมาหาผม แต่สองเท้ากลับก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ อย่างไม่คิดจะยอมแพ้
“จะกลับดีๆ หรือต้องให้ฉันเดินไปลากเธอกลับมา!”
ปัง!
แล้วเธอก็ยิงผมจริงๆ
“คุณไดสึเกะ”
“ไม่ต้อง” ผมตะโกนบอกเมื่อคนของผมที่ยืนอยู่ด้านหลังต่างก็พากันตกอกตกใจที่เห็นว่าผมถูกยิง และผมเชื่อว่าเกินครึ่งที่อยู่ตรงนี้กับผมพร้อมจะชักปืนขึ้นมาแล้วเล็งไปที่ผู้หญิงคนนั้นเพียงแค่ผมออกคำสั่ง
“ถ้านายยังไม่เลิกยุ่งกับฉัน ฉันจะฆ่านาย”
“งั้นทำเลย” ผมบอกอย่างท้าทาย ผมรู้ว่าเธอกล้ายิงผมแน่ๆ อย่างน้อยๆ ก็หนึ่งนัดที่ถึงแม้จะเฉียดแต่มันเป็นสัญญาณบอกว่าเธอกล้าพอที่จะยิง แต่ที่ผมมั่นใจว่าเธอไม่กล้าก็คือการฆ่าผม
“ฆ่าฉันก่อนที่ฉันจะถึงตัวเธอนามิ”
ปัง!
แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เธอตัดสินใจยิง เพียงแต่ว่าครั้งนี้เธอยิงพลาด กระสุนนัดนั้นไม่ได้ถูกผม ไม่แม้แต่จะเฉียดด้วยซ้ำ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะว่าเธอตั้งใจยิงพลาดจริงๆ หรือแค่ตั้งใจจะยิงเพื่อขู่ผมเท่านั้น
สายตาของเธอที่มองผมมันสั่นเหมือนคนกำลังหวาดกลัว และสิ่งที่เธอหวาดกลัวก็คือผมคนนี้นี่แหละ!
“ถ้าเธอไม่ฆ่าฉัน ฉันรับรองว่าเธอจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต”
“อย่าคิดว่าฉันไม่กล้าทำนะไดสึเกะ” นามิตะคอกบอกเสียงดัง แต่ไม่ว่าเธอจะตะโกนยังไงมันก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าผมกลัวเธอเลยสักนิด มิหนำซ้ำมันยังทำให้ผมมั่นใจขึ้นกว่าเดิมด้วยว่าเธอไม่กล้าฆ่าผมแน่นอน
ในขณะที่เธอกำลังแสดงว่าเธอเข้มแข็ง ผมรู้ว่าแท้จริงแล้วเธออ่อนแอสิ้นดี มันคงไม่ต่างกับการที่เธอพยายามบอกว่าตัวเองเกลียดผม ทั้งที่ความรู้สึกของเธอมันไม่เคยทรยศผมเลย
“ยิงฉันสินามิ ฆ่าฉันให้ตาย ก่อนที่เธอจะไม่มีโอกาสนั้นอีก!” ผมยังคงท้าทายผู้หญิงตรงหน้าต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้ เพราะทุกอย่างที่เธอกำลังทำ มันเริ่มมากขึ้นจนผมกลัวว่ามันจะเกินกว่ากำลังที่ผมจะควบคุม
กึก!
แล้วผมก็ตัดสินใจหยุดเดินทั้งที่อีกเพียงแค่ไม่กี่ก้าวผมก็จะสามารถก้าวถึงตัวเธอได้ แต่เหตุผลที่ผมต้องหยุดก็เพราะว่านี่จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมจะหยิบยื่นให้เธอ
“นับถึงสาม เธอไม่ยิง ฉันยิง” ผมบอกพร้อมกับเอื้อมหยิบปืนทางด้านหลังขึ้นมาแล้วเล็งไปที่นามิที่ยังคงยืนอยู่ตรงหน้าของผม และทันทีที่เธอเห็นว่าผมยกปืนขึ้นมา ก็ทำให้ปืนในมือของเธอเล็งมาตรงหน้าของผมอีกครั้งหลังจากที่เมื่อครู่เหมือนว่ามือของเธอจะอ่อนแรงจนทำให้ปืนในมือตกลงไปนิดๆ
“หนึ่ง”
ผมเริ่มนับ และผมบอกตัวเองแล้วว่าถ้าผมนับถึงสามเมื่อไหร่ ผมจะยิงจริงๆ
“สอง”
ปัง!
เอี๊ยดดด~
เสียงปืนที่ดังขึ้นทำให้ลำตัวของผมกระตุกแรง มันเป็นเพราะผมถูกยิงจริงๆ แต่คนยิงไม่ใช่นามิ
“คุณไดสึเกะครับ”
“ไปเอารถมา” ผมตะโกนสั่งพลางผลักไซโตะออกไปให้พ้นทางเพราะผมต้องการจะมองให้เห็นรถคันนั้นที่เพิ่งจะขับมารับนามิไปต่อหน้าต่อตาผม มือขวาของผมยังคงถือปืนเอาไว้พร้อมกับต้องยกมันขึ้นมาจับที่ต้นแขนด้านซ้ายเพราะมันเป็นจุดที่ผมถูกยิง ไม่รู้ว่าผมโชคดีรึเปล่าที่มันดันเป็นจุดเดียวกับที่นามิยิงผมเมื่อครู่ ซึ่งเหมือนจะเป็นเจตนาของคนยิงที่อยู่ในรถคันนั้น
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก และผมเองก็ไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่ารถคันนั้นขับมาจากทิศทางไหน
เอี๊ยดดด~
ปัง!
ผมรีบขึ้นรถทันทีที่ไซโตะขับมาจอดตรงหน้า และเขาเองก็ออกรถแล้วขับตามรถคันนั้นไปในทันทีเหมือนกัน
“คุณไดสึเกะครับ”
“ถ้าไม่ได้ตัวนามิ นายเป็นอีกคนที่จะเดือดร้อน” ผมสั่งออกไปพลางบีบแขนซ้ายของตัวเองแน่น ผมรู้ว่าไซโตะจะพูดอะไร แต่วินาทีนี้ต่อให้จุดที่ผมโดนยิงจะเป็นหัวใจ แต่ถ้าผมยังมีลมหายใจอยู่ สิ่งแรกที่ผมจะทำก็ยังเป็นการไปลากตัวนามิกลับมาอยู่ดี
“ไซโตะ”
“ครับคุณไดสึเกะ”
“นายรู้ใช่มั้ยว่าต้องทำยังไง”
“ทราบครับ” ไซโตะย้ำอย่างนั้นก่อนที่เขาจะเร่งความเร็วของรถขึ้นอีกเพื่อตามรถคันข้างหน้าให้ทัน
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับความรู้สึกว่าตัวรถส่ายไปมาเมื่อไซโตะพยายามหักหลบกระสุนที่ถูกยิงมาจากรถคันที่ขับอยู่ข้างหน้า ซึ่งผมเองก็พยายามจะช่วยเขาด้วยการเล็งปืนในมือไปที่รถคันนั้นเพื่อจะยิงโต้ตอบ แต่การต้องจับปืนด้วยมือข้างเดียวเพราะแขนอีกข้างถูกยิงและกำลังเสียเลือดมาก มันไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนที่เคยดูในหนัง ยิ่งเป็นการต้องยิงในขณะที่รถยังคงวิ่งด้วยความเร็วและส่ายไปส่ายมา มิหนำซ้ำคนบนรถยังเป็นคนที่ห้ามเป็นอันตรายผมยิ่งไม่กล้าพอจะเหนี่ยวไก
“ไม่เป็นไรครับคุณไดสึเกะ ถ้าถูกคุณนามิขึ้นมามันจะเป็นเรื่องใหญ่”
“บ้าฉิบ!” ผมสบถด้วยความหงุดหงิดก่อนจะดึงมือกลับเข้ามาในรถ ทำไมผมต้องมากังวลว่ายัยนั่นจะเป็นอะไรทั้งที่เธอยิงผมด้วยวะ
“เอี๊ยดดด”
เสียงเบรกจากรถคันข้างหน้าดังขึ้นทำให้ไซโตะเองก็ต้องเบรกด้วยเหมือนกัน ซึ่งระหว่างที่ตัวรถยังคงพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่ถูกลดลงกะทันหันแบบนั้น ไม่ได้ทำให้ผมละสายตาจากรถคันนั้นได้เลย
“จอดรถ”
“เราอ้อมไปดักอีกทางได้นะครับคุณไดสึเกะ”
“ฉันสั่งให้จอด นายอ้อมไปเลย แล้วไปเจอกันข้างหน้า”
“แต่...”
“ฉันให้เวลาสามนาที” ผมสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดก่อนจะเปิดประตูรถแล้วก้าวเท้าลงมา
ไซโตะต้องรีบออกรถเพื่อขับอ้อมไปยังถนนอีกเส้นซึ่งปลายทางของมันก็คือถนนเส้นเดียวกับที่ตัวผมเองกำลังวิ่งไป
รถคันนั้นจอดขวางทางเข้าซึ่งมันเป็นตรอกเล็กๆ ที่สามารถพาไปออกที่ถนนอีกเส้น ประตูรถอีกด้านถูกเปิดออกและผมมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ในรถแล้ว คนขับรถคงตั้งใจจะจอดรถขวางทางเพื่อถ่วงเวลาเท่านั้น
ผมรีบก้าวกระโดดข้ามรถคันนั้นมาแล้ววิ่งตรงเข้าไปในตรอกนั้นตามที่เห็นว่ามีคนสามสี่คนวิ่งนำเข้าไป และหนึ่งในนั้นก็คือนามิ ดูเหมือนว่าเธอจะได้รับความช่วยเหลือจากคนพวกนั้น ซึ่งอีกไม่กี่นาทีผมคงได้รู้ว่ามันเป็นพวกไหนกันแน่
“โอ๊ย!”
เสียงนามิร้องดังเมื่อเธอสะดุดและล้มลง สายตาของเธอมองย้อนกลับมาทางด้านหลังเพราะน่าจะรู้ตัวตั้งแต่แรกว่าผมตามมา แต่ระหว่างที่เรากำลังสบตากันอยู่ ร่างของเธอก็ถูกอุ้มขึ้นโดยผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งจะวิ่งมาถึง
สายตาของผมจ้องมองไปที่ผู้ชายคนนั้น สองมือกำหมัดแน่นแม้จะรู้ว่ามันจะยิ่งทำให้ผมรู้สึกปวดแผล หากแต่อาการปวดแผลมันเทียบไม่ได้เลยกับความรู้สึกเดือดดาลที่กำลังปะทุอยู่ในอก
“หวัดดีไดสึเกะ”
คำทักทายจากผู้ชายคนนั้นทำให้ผมกัดฟันกรอด สองเท้าหยุดวิ่งแล้ว แต่ยังคงตั้งใจจะเดินตรงเข้าไปหาทั้งคู่อย่างไม่คิดจะหวั่นเกรง ซึ่งหลังจากที่มั่นใจแล้วว่าไอ้คนที่มันให้ความช่วยเหลือเธอเป็นใคร ผมก็จ้องมองลงไปที่ใบหน้าของผู้หญิงที่กำลังทรยศผมอีกครั้งด้วยความรู้สึกโกรธเธอ และโกรธยิ่งกว่าครั้งที่เธอหนีผมออกจากโรงพยาบาล มากกว่าที่เธอยิงคนของผมและยิงผมด้วยซ้ำ
“ปล่อยมือของแกออกจากผู้หญิงของฉัน” ผมบอกทั้งที่ยังคงก้าวไปข้างหน้า
ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะรู้ว่าคนของผมที่ตามมาทางด้านหลังมีเพียงไม่กี่คน ซึ่งถ้าเทียบกับจำนวนคนของอีกฝั่งที่เริ่มทยอยกันเดินมาสมทบก็คงต้องบอกว่าฝั่งของผมยังเป็นรองอยู่มาก แต่นั่นก็ยังไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกกลัวมันเลยสักนิด
“ฉันไม่ยักรู้ว่านามิเป็นผู้หญิงของนาย”
“ก็ลองถามเธอดูสิ” ผมแนะนำ สายตาจ้องมองไปที่นามิอย่างต้องการแสดงให้เธอรู้ว่าถ้าเธอกล้าลองดีกับผม เธอโดนชุดใหญ่แน่
“จริงเหรอนามิ”
“ฉัน...” เสียงของนามิสั่นจนผมรู้สึกได้ ซึ่งสายตาที่เธอมองมาที่ผมเองก็สั่น แต่ผมกลับมองไม่เห็นความรู้สึกผิดหรือความน่าสงสารในดวงตาคู่นั้นของเธอเลยสักนิด
“มะ...”
“นามิ!”
“ไม่ใช่ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงของไดสึเกะ”
คำตอบที่ได้ยินจากปากของนามิทำให้ผมก้าวเท้าออกไปโดยอัตโนมัติ แต่กลับทำได้เพียงแค่ก้าวเดียว ผมก็ต้องหยุดนิ่งเมื่อเส้นทางข้างหน้าถูกขวางเอาไว้ด้วยมือสองข้างจากคนของผมที่เดินเข้ามาขวาง
ภาพเบื้องหน้าคือคนของศัตรูนับสิบที่กำลังยกปืนขึ้นมา และปลายกระบอกปืนทุกกระบอกล้วนแล้วแต่เล็งมาที่ผม แต่เชื่อเถอะว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ร่างกายของผมกำลังสั่น ก็คือคำตอบที่ผมได้ยินจากปากของเธอ
“ฉันว่ามันอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันน่ะ แกว่ามั้ยไดสึเกะ”
“ถ้าแกกล้าพานามิไปจากฉัน ฉันรับรองว่าแกไม่ได้ตายดีแน่ ไอ้ยามาดะ” ผมประกาศกร้าว
ยามาดะตีรวนผมด้วยการแสร้งทำหน้าตาตกใจนิดๆ แต่มุมปากของมันกลับยกยิ้ม ทำเอาเลือดในร่างกายของผมพลุ่งพล่านไปหมด
“จะว่ายังไงดีล่ะ งั้นเอาแบบนี้ก็แล้วกัน” ไอ้ยามาดะพูดพลางค่อยๆ วางนามิลงกับพื้นช้าๆ ท่าทางที่ได้เห็นว่ามันระแวดระวังกลัวว่าเธอจะล้มลงไปแบบนั้นทำให้ผมกำหมัดแน่นยิ่งกว่าเดิม เส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบๆ จนรู้สึกได้
“ฉันอธิบายตรงนี้เลยก็แล้วกันนะไดสึเกะ”
“หุบปากของแกแล้วถอยออกไปจากนามิ ก่อนที่ฉันจะเป่าสมองแกและคนของแกจนหมด”
“งั้นก็เอาเลยสิ ยิงฉันเลย” ไอ้ยามาดะท้าทาย แต่สิ่งที่มันทำหลังจากท้าทายผมคือการเดินอ้อมกลับไปยืนอยู่ข้างหลังนามิแล้วโอบเธอเอาไว้
“ไอ้สารเลว”
“ไม่ได้ครึ่งหนึ่งของแกหรอกมั้ง คนดีที่ไหนเขาจะบังคับข่มขู่ให้ผู้หญิงแต่งงานด้วยล่ะ จริงมั้ย”
“ไอ้...” ผมจะไม่ลังเลอยู่แบบนี้ถ้าไม่ติดตรงที่ผมรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเรื่องที่ไอ้ยามาดะพูดเป็นเรื่องจริง และเรื่องจริงที่มันพูดเป็นเรื่องที่คนนอกอย่างมันไม่ควรจะรู้ ซึ่งในเมื่อทุกอย่างลงล็อกกันแบบนี้แล้วก็เดาออกได้ไม่ยากเลยว่ามันรู้ได้ยังไง
“อึ้งขนาดนั้นเลยเหรอไดสึเกะ เอางี้มั้ย ฉันจะสอนวิธีขอผู้หญิงแต่งงานให้นายเอง”
“ยามาดะ อื้อออ”
เท้าของผมกระตุกและก้าวออกไปทันทีเมื่อไอ้ยามาดะรั้งปลายคางของนามิเอาไว้แล้วทาบริมฝีปากสกปรกของมันลงไปบนริมฝีปากของเธอ หากแต่คนของผมก็ยังพยายามกันผมเอาไว้
“พร้อมครับ”
แต่ละวินาทีมันผ่านไปช้าเหลือเกิน แต่สุดท้ายวินาทีที่ผมรอคอยก็มาถึงเมื่อคนของผมกระซิบบอกเบาๆ ว่าเกมนี้ผมต้องชนะ!
เกือบแล้ว อีกนิดเดียวผมคงหมดความอดทนแล้วฆ่ามันทิ้งแน่!
ปัง!
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าช้าแล้วผมจะไม่ฆ่า
ทันทีที่ได้ยินเสียงสัญญาณความพร้อม ผมก็ยกปืนในมือขึ้นอีกครั้งแล้วเล็งไปที่หัวของไอ้ยามาดะทันที ซึ่งมันจะไม่พลาดเลยถ้าเธอไม่พยายามช่วยมัน ซึ่งผมไม่แน่ใจนักหรอกว่ามันเป็นความตั้งใจของเธอ หรือมันเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เธอพยายามจะผลักไอ้ยามาดะออกจากตัวเธอกันแน่
สายตาที่นามิมองกลับมาที่ผมราวกับว่าตกใจที่เห็นว่าผมกล้าที่จะยิงไอ้ยามาดะทั้งที่เห็นว่าเธอกับมันยืนใกล้ชิดกันจนแทบจะเป็นคนคนเดียวกันด้วยซ้ำ แต่เธอคงลืมไปว่าก่อนหน้านี้ผมก็ยิงเธอมาแล้ว และที่สำคัญคือเธอไม่รู้หรอกว่าเพราะเห็นกับตาว่าเธอกับมันแทบจะเป็นคนคนเดียวกันนั่นแหละที่ทำให้ผมตัดสินใจยิง
ปัง!
ผัวะ!
เสียงความโกลาหลเกิดขึ้นทันทีหลังจากที่เสียงปืนจากปลายกระบอกปืนของผมเหมือนเป็นสัญญาณของการเปิดฉากการต่อสู้ แต่ในเมื่อคนของผมบอกว่าพร้อม นั่นก็แปลว่าเราต้องชนะ
“สั่งคนของนายให้หยุดซะไดสึเกะ”
แต่แล้วอยู่ๆ นามิก็โพล่งขึ้นมา และทั้งที่เสียงของเธอไม่ได้เสียงดังไปกว่าเสียงของการต่อสู้ที่กำลังเกิดขึ้นเลยสักนิด แต่กลับทำให้ทุกคนในที่นี้หยุดการเคลื่อนไหว
ไม่รู้ว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่ผมต้องพยายามบอกตัวเองให้อดทนเพราะเธอ!
“อย่าคิดจะลองดีกับฉันนามิ”
“ฉันไม่ได้คิดจะลองดี แต่ฉันทำแน่ นายก็รู้”
“ทิ้งปืนเดี๋ยวนี้นามิ!”
“ไม่! ปล่อยฉันไปซะไดสึเกะ หรือไม่ก็ฝากบอกโอยามะทีว่าฉันยิงตัวตายตามพี่โยชิดะไปแล้ว เหตุผลก็เพราะไม่อยากแต่งงานกับคนสารเลวอย่างนาย!” นามิแผดเสียงดังลั่น ซึ่งผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าจะมีวันนี้ วันที่ผมเห็นว่าเธอยกปืนในมือขึ้นมาจ่อที่หัวของตัวเอง
ก่อนหน้านี้ถึงเธอจะตะคอกใส่หน้าผมอยู่หลายครั้งว่าเธอยอมตาย ดีกว่าต้องแต่งงานกับคนอย่างผม ผมยังไม่รู้สึกว่าขาสั่นเท่านี้มาก่อน มันเหมือนร่างกายทุกส่วนชาไปหมด
“คุณไดสึเกะครับ”
ผมควรทำยังไงดี ปล่อยให้เธอลองทำในสิ่งที่เธอกำลังท้าทายผมอยู่ดีมั้ยนะ
“คุณไดสึเกะครับ”
“ปล่อยเธอไป”
“แต่...”
“ปล่อย!” ผมตะโกนบอกเมื่อไซโตะที่ตอนนี้ยืนอยู่ห่างจากผมไม่ไกลกำลังทำท่าเหมือนจะลังเลกับคำสั่งของผมทั้งที่เขาไม่เคยขัดคำสั่งของผมมาก่อน ไซโตะเงียบลงก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นแล้วกดข้อมือลงเบาๆ เป็นสัญลักษณ์บอกให้คนของผมทุกคนลดอาวุธ
“ก็ง่ายดี”
“ฉันสาบานว่ามันจะมีแค่ครั้งเดียว ถ้าครั้งหน้าฉันเจอแกอีก อย่าฝันว่าแกจะได้มีลมหายใจกลับไป”
“แปลว่าฉันต้องตัวติดกับนามิเอาไว้เพื่อความปลอดภัยของชีวิตฉันสินะ” คำถามเย้ยหยันจากปากของไอ้ยามาดะทำให้ผมรู้สึกอยากจะเดินเข้าไปเขย่าตัวของนามิแรงๆ ให้หายแค้น
“ลาก่อนไดสึเกะ” นามิบอกแบบนั้นก่อนที่เธอจะเดินจากผมไปพร้อมกับไอ้ยามาดะ ซึ่งคนของผมที่ยืนล้อมอยู่ทางด้านหลังจำต้องหลีกทางให้ตามคำสั่งของผม
ผมได้มองภาพนั้นด้วยความรู้สึกกรุ่นโกรธที่คับแน่นอยู่ในอก และกำลังให้สัญญากับตัวเองว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะยอมปล่อย และถ้าผมกระชากเธอกลับมาได้เมื่อไหร่ เธอจะไม่มีทางได้ออกไปไกลเกินกว่าช่วงแขนของผมตลอดชีวิต!