อีกด้านหนึ่งบนชั้นลอยของผับปรากฏร่างสูงของผู้ชายสี่คนกำลังยืนถือแก้วเหล้าพิงราวชั้นลอยมองดูเหล่านักเต้นเบื้องล่างออกสเต็ปกันอย่างเมามันส์ ตอนแรกก็รู้สึกว่าคืนนี้มันช่างน่าเบื่อเสียจริง ทว่าวินาทีต่อมาเสียงร้องอือหื้อดังมาจากลำคอของหนึ่งในนั้น
“มึง ๆ นั่นใช่เด็กคณะเราเปล่าวะ?” ‘กันย์’ ถ่องแขน ‘ไปป์’ พลางชี้นิ้วไปทางคนกลุ่มหนึ่งเบื้องล่าง ส่งผลให้ชายหนุ่มอีกสองคนละสายตามองตาม
“เออ น่าจะใช่นะ กูรู้จักอยู่คนหนึ่ง รุ่นน้องคณะเรา เอกการเต้น”
“อ้อ ๆ กูนึกออกละ น้องคนนั้นเป็นดาวคณะเราด้วยนี่หว่า”
“ไหน ๆ คนไหนวะ?” ใบหน้าหล่อ ๆ ยื่นแหวกกลางคนทั้งสองมองลงไปด้านล่างด้วยสายตาใคร่รู้ “ไหนวะ? คนไหน?”
“เสนอหน้าอย่างไวเลยนะมึง ได้ข่าวว่ามึงมีเมียแล้วนะไอ้หลาม” กันย์เตะขาเพื่อนตัวเองเบา ๆ หนึ่งที
‘ฉลาม’ เก็บสีหน้าใคร่รู้กลับมามองเจ้าของเท้านั่นด้วยแววตาเคือง ๆ
“กูก็แค่อยากเห็นไหมไอ้กันย์ กูอยากรู้ไงว่าดาวคณะมึงจะสวยสู้เมียกูได้ไหมเฉย ๆ”
“งั้นมึงไม่ต้องดูหรอกเพราะดาวคณะกูเป็นสาวสวยสายฝอสุดเซ็กซี่ขยี้ใจ ไม่ได้หมวยน้อยน่ารักแบบเมียมึง” เขาตอบกลับความอยากรู้อยากเห็นของฉลามด้วยน้ำเสียงติดหมั่นไส้
“หมวยน้อยแล้วไงวะ เมียกูคือสวยที่สุดในใจกูแล้ว”
ทั้งสามคนพากันทำสีหน้าเหม็นความรักใส่คนไม่โสดคนเดียวในกลุ่ม ซึ่งคนไม่โสดก็ไม่ได้ใส่ใจและไม่แคร์ด้วย ก็แค่ไอ้พวกไม่มีเมียเป็นของตัวเองแล้วขี้อิจฉา
งี้แหละ หล่อไม่เท่า เอาอะไรมาเทียบก่อน?
“อื้อหือ… มึงดู ๆ มึงดูนั่น” กันย์สะกิดไปป์อีกครั้ง ทุกคนมองตาม จุดโฟกัสหยุดอยู่ที่ร่างบางของผู้หญิงคนหนึ่ง เธอกำลังออกสเต็ปสุดเซ็กซี่อยู่กลางฟลอร์ ผู้คนโดยรอบตีวงออกกว้างเพื่อเปิดทางให้เธอโชว์สเต็ปอย่างเต็มที่ “เชี่ย… โคตรฮอต”
“มึงร้อน?” ฉลามสอดปากขึ้นมา เขาไม่ได้มองด้านล่างแล้ว แต่กลับมายืนข้างเพื่อนสนิทอีกคนที่เอาแต่ยืนพิงราวชั้นลอยจิบเหล้าเงียบ ๆ ไม่พูดจาเหมือนคนเป็นใบ้
“มึงนี่กวนตีนเก่งนักนะไอ้หลาม ฝากเตะแม่งทีดิ๊ไอ้ควัน”
‘ควันหลง’ เพียงปรายตามองเพื่อนทั้งสองคนนิ่ง ๆ เขาไม่พูดอะไร จิบเหล้าต่อไปเงียบ ๆ สายตาจ้องมองไปทางฟลอร์เบื้องล่างด้วยสีหน้าราบเรียบไร้อารมณ์
“กูว่าคืนนี้มีเรื่องสนุก ๆ ให้ดูแล้วว่ะ” อยู่ ๆ ไปป์พูดแทรกขึ้นมา ฉลามกับกันย์หันมองเขา เขาพยักพเยิดหน้าไปทางฟลอร์เบื้องล่างที่ก่อนหน้านี้มีร่างเซ็กซี่กำลังวาดลวดลายออกสเต็ปอย่างสนุกสนาน ทว่าตอนนี้เธอคนนั้นกลับยืนนิ่งโดยมีผู้ชายสองคนกำลังยื้อแย่งข้อมือเล็กคนละข้าง สีหน้าบ่งบอกถึงความรำคาญใจขั้นสุด
“ศึกชิงนางเหรอวะนั่น” กันย์ขมวดคิ้วพึมพำ
“มึงว่าใครจะชนะวะไอ้ควัน” ฉลามลูบคางวิเคราะห์สถานการณ์ราวกับเหตุการณ์เบื้องล่างเป็นละครฉากสนุก แต่ก็ไม่ผิดจากที่เขาคิด สำหรับคนอื่นอาจมองว่าสนุก แต่มันไม่ใช่สำหรับเธอแน่
“ไม่มีใครชนะ” เสียงทุ้มเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ เขาไล้ปลายนิ้วชี้รอบปากแก้วเบา ๆ คล้ายว่ามันน่าสนุกกว่าความวุ่นวายเบื้องล่างนั่น
“ทำไมคิดงั้นวะ”
“ดูเอาเองสิ”
.
.
.
สถานการณ์ตอนนี้เป็นอะไรที่น่ารำคาญสำหรับวาโยมาก ทำไมเธอต้องมาเผชิญหน้ากับเรื่องแบบนี้ด้วยนะ น่าปวดหัวสุด ๆ อยากหนีชะมัด
“ปล่อยมือโยซะไอ้เวร” ผู้ชายร่างสูงฝั่งขวาพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่ ขณะผู้ชายฝั่งซ้ายก็ไม่ลดราวาศอกเช่นกัน
“มึงนั่นแหละปล่อยโยซะถ้าไม่อยากหน้าแหก”
“มึง…”
“โอ๊ย! ปล่อยทั้งคู่นั่นแหละ!” มือเล็กสะบัดออกจากการจับกุม
บ้าเอ๊ย…
วาโยสบถในใจ เธอโดนบีบข้อมือจนแดงเถือกไปหมดแล้ว ผู้ชายสองคนนี้นี่มันอะไรกัน ถึงเธอจะเป็นสายมาโซแต่ไม่ได้หมายความว่าจะชื่นชอบความเจ็บปวดอะไรแบบนี้นะ เธอก็แค่ชอบอะไรที่มันได้มายาก ๆ ยิ่งได้ยากยิ่งอยากได้อะไรแบบนั้น ไม่ได้ชอบความเจ็บปวดสักหน่อย
“พี่ขอโทษนะโย พี่หึงจนหน้ามืดไปหน่อย” กายทำหน้ารู้สึกผิด วาโยไม่ได้มองเขาเลย เธอทำหน้ารำคาญใส่เขาด้วยซ้ำ เขาทำผิดอะไรอีกวะ วันนี้ทั้งวันเธอไม่รับสายเขา ไม่ตอบแชทเขา ยังมาเห็นเธอเต้นกับผู้ชายคนอื่นอีก
“ไม่หน่อยแล้วมั้งคะ ข้อมือโยแดงขนาดนี้” วาโยชักสีหน้าเย็นชามองรอบตัว ทุกคนตีวงออกกว้าง กลายเป็นว่าเธอกลายเป็นจุดสนใจอีกแล้ว
น่าเบื่อจริง ๆ
“แกโอเคไหมวะโย” พิชาเข้ามาดึงเพื่อนออกห่างจากผู้ชายสองคนนั้น เจเจและเพื่อนคนอื่น ๆ เข้ามายืนล้อมวาโยเช่นกัน ทุกคนทำเหมือนกำลังปกป้องเธออยู่ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจมาก
แต่ก็นั่นแหละ เธอไม่ได้กลัว แค่รำคาญ
“ไม่เป็นไร ฉันกลับก่อนดีกว่า” เธอตัดบท มองหน้าพิชาอย่างรู้กัน เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก และทุกครั้งวาโยก็มักจะหนีก่อนเสมอ ใครอยากทะเลาะกันก็ทะเลาะไป ใครอยากต่อยตีกันก็ต่อยตีไป ไม่เกี่ยวกับเธอ
ร่างเพรียวบางเดินออกมาด้านหลังผับ เธอไม่ได้สนใจจะมองใคร เอาแต่ก้มหน้ากดโทรศัพท์เพื่อจะเรียกรถมารับ ทว่าเดินมาได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องชะงักเท้าเพราะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมาจากมุมหนึ่งของลานจอดรถ มันเป็นเสียงต่อสู้คล้ายคนกำลังทะเลาะวิวาทกัน
“มึงอยากตายใช่ไหมไอ้เหี้ยควัน!”
“ทำได้ มึงลอง”