บทที่ 5
ความบังเอิญ (1)
ปัง!
“ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าให้มาช่วยงานที่บริษัท! ไอ้สำนักพิมพ์บ้าบออะไรของแกน่ะรีบปิดมันซะ!!” เสียงตบโต๊ะพร้อมกับเสียงตะคอกดังขึ้นที่ห้องทำงานส่วนตัวภายในบ้านหลังใหญ่ของประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ อรรถสิทธิ์ผู้ทรงอิทธิพลและมีอำนาจตวาดกร้าวกับคนเป็นลูกชายด้วยความโมโหจัด
“ผมบอกพ่อแล้วไงว่าผมไม่ปิด! ผมอยากทำในสิ่งที่ผมรัก!”
“แล้วแกจะทิ้งบริษัทไปรึไง! แกอย่าลืมว่าแกเป็นลูกชายของฉัน แกจะต้องมาบริหารบริษัทแทนฉัน!!”
“หึ…” พิภพเค้นเสียงหัวเราะและเงยหน้าขึ้นมองคนเป็นพ่ออย่างนึกสมเพช ร่างสูงก้าวถอยหลังพลางล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกงโดยที่สายตาคมเหยียดมองคนตรงหน้าเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น
“…ลูก? ลูกเหรอครับ?” เขานึกสมเพชสิ้นดีที่ได้ยินคำว่าลูกจากปากคนตรงหน้า
เมื่อวัยเด็กพิภพรู้ความจริงว่าอรรถสิทธิ์พ่อของเขานั้นมีบ้านเล็กที่ซุกซ่อนเอาไว้ทำให้เขาเติบโตและได้ยินเสียงทะเลาะกับพ่อและแม่มาโดยตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งแม่ของพิภพป่วยหนักต้องเข้าโรงพยาบาลแต่อรรถสิทธิ์กลับใช้เวลาอยู่กับภรรยาน้อยไม่สนใจไยดีจนกระทั่งแม่ของพิภพเสียชีวิตด้วยโรคร้ายในที่สุด
หลังจากที่จัดงานศพตามศาสนาอรรถสิทธิ์ก็รับภรรยาน้อยมาดูแลที่บ้านพร้อมด้วยลูกชายที่พิภพไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังจะมีแม่ใหม่และน้องชายต่างมารดา
"พ่อลืมไอ้ภูลูกชายสุดที่รักไปหรือเปล่า"
ภูวดลน้องชายต่างมารดาที่เขาไม่ลงรอยกันตั้งแต่แรกเจอ ช่วงที่พิภพและภูวดลอยู่ด้วยกันมักจะทะเลาะและมีปัญหากันอยู่ตลอด และแน่นอนว่าอรรถสิทธิ์ย่อมเข้าข้างลูกชายคนเล็กอยู่แล้วทำให้พิภพเริ่มแยกตัวออกจากครอบครัวจนทำให้ความสัมพันธ์ของพ่อลูกนั้นเป็นไปในทางที่ย่ำแย่จนถึงทุกวันนี้
"น้องยังเด็กอยู่ น้องยัง..."
"พ่อเลิกยุ่งกับชีวิตของผมได้ไหมวะ! รักมันมากก็ยกบริษัทไปให้มันเลย! ผมไม่อยากทำ ไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับบ้านนี้อีก!!" ชายหนุ่มตวาดกร้าวอย่างเหลือออดก่อนจะหันหลังเพื่อเดินออกไปจากห้อง
"ถ้าแกเดินออกไป เงิน ข้าวของ รถ หรืออะไรที่ฉันซื้อให้แกก็ห้ามเอาไป!!"
"หึ พ่อคิดว่าผมจะเกาะพ่อกินเหมือนไอ้ภูมันเหรอ ผมมีบริษัท ผมมีงานของผม! ผมไม่อยากได้เลยเงินของพ่อ!!"
"แกกล้ามากนะ" เสียงเข้มของอรรถสิทธิ์กดต่ำพลางระงับอารมณ์เมื่อเห็นคนเป็นลูกชายกล้าต่อกรกับเขาเช่นนี้
"ผมทำได้มากกว่าที่พ่อคิดอีก"
"เพราะเด็กคนนั้นสินะ..." ประโยคนั้นทำให้พิภพหันไปมองอย่างไม่เข้าใจ
"...ฉันคงต้องจัดการเอง"
"อย่ายุ่งกับไวน์! นี่พ่อสั่งให้คนตามดูผมเหรอ! พ่อทำแบบนี้ทำไมวะ!!" เขาจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ต้องซ้ำรอยเหมือนสามปีที่แล้วอีกแน่นอน เขาจะไม่ยอมให้อรรถสิทธิ์มาบงการชีวิตของเขาได้อีกต่อไป!
"ฉันจะคอยดูน้ำหน้าอย่างแก ถ้าไม่มีเงินฉันชีวิตแกก็คงไปไม่รอด รวมถึงบริษัทบ้าๆ ของแกด้วย!!"
"ผมก็ขอให้พ่อมีความสุขกับแม่เลี้ยงและลูกชายสุดที่รักของพ่อแล้วกัน!!" พิภพเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องไปในที่สุด
ทันทีที่มือหนาเปิดประตูออกไปก็พบกับแม่เลี้ยงและน้องชายต่างมารดาที่เขาเกลียดจนเข้าไส้กำลังยืนแอบฟังอยู่ด้านนอกประตูพร้อมกับรอยยิ้มและสายตาเหยียดหยามที่มองมาที่เขาอย่างนึกสมเพช
"ไม่มีใครสั่งสอนเหรอครับว่าการแอบฟังคนอื่นคุยกันมันเสียมารยาท" พิภพเอ่ยกับคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งก่อนจะทำท่าเดินออกไป
"หึ ไปแล้วก็อย่ากลับมาแล้วกัน เพราะยังไงบริษัทก็ต้องเป็นของลูกชายฉัน!" ฝีเท้าหนาหยุดชะงักก่อนจะค่อยๆ หันไปมองกับร่างทั้งสองที่ยืนกอดอกมองเขาด้วยความเหยียดหยาม
"ค่อยๆ กอบโกยนะครับ ผมเห็นแล้วมันน่าสมเพช" พิภพเค้นเสียงหัวเราะออกมา เพราะเขาไม่ได้นึกเสียดายกับมรดกที่ต้องได้รับอยู่แล้ว เขาไม่อยากจะเป็นส่วนหนึ่งของบ้านนี้เลยด้วยซ้ำและวันนี้จะเป็นวันที่เขามีความสุขที่สุดที่ได้หลุดพ้นจากคนพวกนี้
"นี่แก!!"
"ผมจะคอยดูจุดจบของพี่แล้วกันนะพี่ภพ ถ้าล้มเมื่อไหร่ผมนี่แหละจะเหยียบพี่ซ้ำ!" ภูวดลเอ่ยด้วยรอยยิ้มร้าย แม้ว่าจะขึ้นชื่อเป็นน้องชายของพิภพแต่เขากลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลย เขาเองก็ดีใจที่พิภพจะไปจากครอบครัวเสียที
"มันไม่มีวันนั้นหรอกไอ้ภู เพราะคนที่เหยียบคือฉันส่วนคนที่ล้มน่ะคือแกกับแม่ของแก!"
"นี่มึง!!"
"เด็กเมื่อวานซืน!!" พิภพเหยียดยิ้มก่อนจะเดินออกไปทิ้งให้สองคนยืนกระฟัดกระเฟียดอย่างไม่พอใจอยู่ตรงนั้น
เพราะเขามั่นใจว่าคนที่ล้มต้องไม่ใช่เขาแน่นอน!
วันถัดไป
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
"คุณภพครับ! คุณภพครับ!" เสียงเคาะประตูจากอธิชาติเลขาหนุ่มที่อายุมากกว่าเพียงสองปีพร้อมด้วยเสียงตะโกนเรียกด้วยท่าทีร้อนรนหาคนเป็นเจ้านายที่ตอนนี้กำลังนอนหลับอยู่บนเก้าอี้แข็งๆ ไม่รู้เรื่องราว
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
"คุณภพครับ ตื่นเถอะครับ!" อธิชาติตะโกนเรียกเจ้านายอีกครั้งซึ่งครั้งนี้นับว่าได้ผลเพราะพิภพค่อยๆ ขยับตัวและลืมตาขึ้นด้วยความงัวเงียอีกทั้งสีหน้าอิดโรยที่บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด
พิภพเหยียดกายลุกขึ้นจากเก้าอี้พลางบีบนวดที่ต้นคอของตัวเองเมื่อเดินมาเปิดประตูห้องที่มีเลขารออยู่ หลังจากที่ออกมาจากบ้านหลังใหญ่โดยมีปากเสียงกับคนเป็นพ่อพิภพก็รถขับรถมาที่กรุงเทพฯ และโหมงานอย่างหนักจนกระทั่งมีสภาพอิดโรยเช่นนี้
"มีอะไรครับ" เสียงทุ้มเอ่ยก่อนจะเอนกายพิงกับเก้าอี้ดังเดิม
"คุณภพลืมปิดระบบหรือเปล่าครับ เมื่อวานเป็นวันส่งผลงานการประกวดวันสุดท้ายแต่วันนี้ผมลองเข้าไปเช็กก็พบว่าระบบยังไม่ปิดเลยนะครับ" เลขาหนุ่มเอ่ยด้วยสีหน้ากังวลใจ เดิมทีหน้าที่เรื่องระบบเว็บไซต์นั้นจะเป็นของฝ่ายไอที แต่พิภพนั้นออกปากว่าจะทำการปิดระบบเองเลยทำให้เขาไม่ได้ตรวจเช็กแต่อย่างใด
พิภพประธานบริษัท READGUN หรือรี้ดกัน เป็นคนเสนอโปรเจกต์ให้นักเขียนหน้าใหม่ที่อยากเข้ามาเป็นครอบครัวกับทางบริษัท ซึ่งเป็นบริษัทที่พิภพตั้งใจสร้างมันขึ้นมา จุดเริ่มต้นพิภพได้ปรึกษากับเตโชเมื่อสองปีก่อนตั้งแต่ที่เขายังเรียนอยู่ต่างประเทศจนกระทั่งเปิดตัวได้ไม่นานบริษัทเล็กๆ ก็โด่งดังและประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก และในวันนี้พิภพได้เปิดรับสมัครนักเขียนหน้าใหม่เนื่องจากเขาอยากร่วมงานกับผู้ที่มีฝีมือและอยากพิสูจน์ให้พ่อของเขาได้รู้ว่าเขานั้นไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหรือต้องขอความช่วยเหลือจากพ่อเขาเลย
ทว่าเมื่อเปิดรับสมัครได้เพียงวันเดียวกลับมีผู้สนใจมากมายส่งผลงานเข้ามาประกวด และเมื่อวานเป็นวันนสุดท้ายสำหรับการส่งผลงานซึ่งพิภพเป็นคนรับหน้าที่ในเรื่องการปิดระบบแต่เขาดันลืมมันไปเสียได้เพราะมันแต่คิดเรื่องของครอบครัว
"ตอนนี้กรรมการปวดหัวกันใหญ่เลยครับ ไม่รู้จะตรวจยังไงหมด" อธิชาติเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย พิภพร่วมงานกับอธิชาติมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทเมื่อสองปีก่อนเนื่องจากเตโชแนะนำรุ่นพี่ที่ไว้ใจได้มาให้และแน่นอนในเรื่องการทำงานนั้นนับว่าเป็นเจ้านายและลูกน้องที่เข้าใจกันเป็นอย่างดี
"ผมจะรีบปิดเดี๋ยวนี้ ขอบคุณมากนะครับคุณเปรมที่เข้ามาบอก" พิภพเอ่ยพลางยกมือขึ้นลูบที่ใบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติ
"คุณภพดูเหนื่อยๆ นะครับ มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าครับ" เนื่องจากทำงานร่วมกันมานานก็ย่อมรู้ว่าคนเป็นนายนั้นมีอาการอย่างไร ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าพิภพนั้นปัญหากับเรื่องใดแต่คนเป็นเลขาก็ย่อมอยากหาทางเพื่อช่วยแก้ปัญหาอยู่ดี
"ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมฝากขอโทษกับกรรมการด้วยนะครับ ที่เพิ่มงานให้อีกแล้ว แต่ยังไงคนที่ส่งมาเลยกำหนดเราก็ต้องรับไว้พิจารณาอยู่ดีเพราะมันเป็นความผิดของผม"
"ครับคุณภพ" อธิชาติโค้งศีรษะลงเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องไปในที่สุด
คนตัวโตผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะจัดการปิดระบบในช่องทางเว็บไซต์ให้เรียบร้อยก่อนที่สายตาคมของเขาจะหยุดชะงักเมื่อเห็นอะไรบางอย่าง
"หวนรักโยธา นามปากกาเฌอลินณ์" อยู่ๆ เขาก็ดันสะดุดตากับชื่อเรื่องในหน้าอีเมลเข้าโดยไม่ทราบสาเหตุก่อนที่เขาจะกดคลิกเข้าไปเพื่อดูเนื้อหาด้านใน
ทันทีที่เปิดเข้าดูถึงประวัติของผู้ร่วมประกวดนั้นก็ทำให้พิภพเบิกตากว้างก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก มือหนายกขึ้นเท้าคางและขยับตัวเพื่อให้ใกล้กับหน้าจอเพื่อให้ตัวเองแน่ใจได้ว่าเขาไม่ได้ตาฝาด
"นางสาว วรัญญา ธนโชติจินดา" เสียงทุ้มเอ่ยพึมพำกับตัวเองและมองหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างไม่เชื่อในสาย หัวใจดวงโตเต้นระส่ำเมื่อรับรู้ได้ว่าเจ้าของเรื่องที่เขาได้เปิดอ่านนั้นเป็นของคนที่เขาโหยหามากที่สุด
"หนูไวน์..." คนๆ นั้นก็คือไวน์อดีตแฟนที่เลิกรากันไปสามปีก่อน ซึ่งเธอเองก็ส่งเนื้อเรื่องเข้ามาร่วมประกวดกับโปรเจกต์ที่บริษัทเช่นกัน
ไม่รู้ว่าฟ้าบันดาลหรือโชคชะตาเป็นใจที่ทำให้เขาและเธอได้กลับมาพบเจออีกครั้งในสถานการณ์เช่นนี้
หลังจากที่พิภพได้ไปเจอกับไวน์ที่คลับเมื่อหลายวันก่อน ซึ่งเขาเองได้นัดแนะและตกลงกับวาโยเพื่อนสนิทของเธอไว้ก่อนหน้าแล้ว แต่ทว่าทันทีที่เจอเจ้าตัวก็หลบหน้าและมีท่าทีไม่อยากเห็นหน้าเขา
"ขอให้ผ่านเข้ารอบนะเด็กดี พี่เป็นกำลังใจให้นะครับ" เสียงทุ้มแผ่วเบาเอ่ยพลางนึกถึงใบหน้าหวานของคนตัวเล็กที่เขาเฝ้ารอเธออยู่ตลอด
หากโชคชะตาต้องการให้เขาและเธอกลับหวนคืนกันจริงๆ เขาก็คงหลบหลีกอะไรไม่ได้ หากเธอผ่านเข้ารอบจากคณะกรรมการก็ถือว่าฟ้าได้ดลบันดาลให้เขาและเธอต้องพบเจอกันอีกครั้ง
พิภพตั้งมั่นกับตัวเองว่าถ้าเป็นอย่างที่เขาหวังไว้จริงๆ เขาจะไม่มีทางยอมปล่อยเธอไปอีกครั้งแน่ เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เธอกลับคืนสู่อ้อมกอดของเขาอีกครั้ง