ตอนที่ 8
จำใส่สมองว่าเธอคือคนของใคร
หญิงสาวร่างเล็กในสภาพมึนเมาทว่าพยายามประคองสติให้มั่น เธอน่าจะเชื่อลุงคนนั้นไม่น่าใช้มันเยอะถึงเพียงนี้ ดูจากสภาพเธอในตอนนี้นั้นเหมือนดื่มแอลกลอฮอล์เพียวสองสามขวด ใบหน้าสวยมีหยาดเหงื่อผุดบริเวณไรผม แม้ว่าจะสั่งชายหนุ่มเอนเตอร์เทรนเร่งเครื่องปรับอากาศแล้วก็ตาม
ชายหนุ่มเอนเตอร์เทรนที่เธอว่าจ้างพึ่งจะเข้ามาภายในห้อง หลังจากที่สติของเธอเลือนลาน ดวงตากลมพยายามเพ่งมองใบหน้าของเขา กลับล้มเหลวในที่สุด ภาพทุกอย่างพร่ามัวมองไม่ชัด
“ครั้งแรกก็เล่นจนเมาแอ๋เลยหรอครับ” น้ำเสียงคุ้นหูเอ่ยเยาะหญิงสาวที่กำลังนั่งปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวลงหนึ่งเม็ด
“เรื่องของฉัน นี่นายเร่งแอร์แล้วจริงๆหรอทำไมมันยังร้อนตับจะแตก” ดารินทร์ยกคอเสื้อขึ้นลงหวังให้มีลมอันน้อยนิดผ่านพัดร่าง
“เร่งต่ำสุดแล้วครับ”
“นายเป็นแวมไพร์นี่ ฉันนึกว่าผู้ชายที่ทำงานมีแต่มนุษย์” แม้ว่าเธอจะหลับตาแต่กลิ่นนั้นไวต่อแวมไพร์อยู่มาก เธอไม่ใส่ใจแม้กลิ่นนี้จะคุ้นแตะจมูกเธอเหลือเกิน
“ไม่รู้สิครับ” ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งข้างเธอ เขาอมยิ้มเล็กน้อย น่าขันเสียจริงเธอคิดว่าเขาเป็นหนุ่มโฮสต์จริงเสียด้วย
“ทำไมฉันคุ้นน้ำเสียงของนายจัง”
จะไม่คุ้นได้อย่างไรก็เราพึ่งจะคุยกันเมื่อครู่ โจชัวนึก พลางนึกย้อนเหตุการณ์ที่เขาแอบฟังหญิงสาวพูดคุยกับผู้จัดการร้าน เขาแฝงเข้าห้องวีไอพีของเธอแทนเด็กหนุ่มโฮสต์คนนั้น ก่อนจะยื่นสินน้ำใจให้เขาอย่างงาม มีที่ไหนงานก็ไม่ต้องทำแถมยังได้เงินอีกต่างหาก...
“หรอครับ” ดวงตาสีเขียวเข้มอ่อนลงยามมองดวงหน้างามสะคราญราวกับตุ๊กตาของเธอ ความงามของเธอเป็นที่เลื่องลื่อในหมู่แวมไพร์ แม้ยังไม่โตเต็มสาวมากนัก วันนี้เห็นกับตาเขาถึงกับต้องยอมศิโรราบในคำล่ำลือ
“เขาเอนเตอร์เทรนกันยังไงหรอ ฉันอยากรู้” เธอพูด โจชัวกลั้นขำ สภาพเธอแทบจะทรงตัวไม่ได้ยังจะอยากรู้ อยากเห็น วิธีการเอนเตอร์เทรนของโฮสต์อีก
“ก็ดูแลฟิลแฟนไงครับคุณ”
“แล้วแบบไหนบ้างล่ะ ทำให้ดูหน่อยสิ” ดารินทร์เอ่ยน้ำเสียงเบาหวิว ยกเรียวขาไขว้ห่าง สองแขนกอดอกแน่น
“คุณจะรับได้หรอครับ” โจชัวถามย้ำ ใบหน้าเหล่าเหลาเลิกคิ้วเข้มอย่างไม่เชื่อหู แต่หากใครรู้เข้าว่าเธอมองเขาเป็นผู้ชายหากินเสียชื่อนายน้อยตระกูลอาเธอนอลหมด
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” ริมฝีปากเคลือบริมสติกสีแดงสดเอ่ย เธออยากศึกษาไว้บ้างจะเป็นไรไป เห็นราอูลหิ้วผู้หญิงจากคลับกลับบ้านไม่ซ้ำหน้า เธอก็อยากจะรู้ว่าความรู้สึกใช้เงินซื้อกินมันรู้สึกอย่างไร
“......” โจชัวนั่งนิ่งเงียบ ยัยเด็กแก่แดดคนนี้ริอาจอยากเติบโตแล้วหรือ
“สรุปนายมาทำงานจริงๆรึเปล่า มัวแต่นั่งนิ่งไม่ดูแลอะไรเลย”
“อะ...เอ่อ ผมมาทำงานวันแรกครับ” ชายหนุ่มอึกอัก เขาเองก็ไม่รู้จะบริการเธอเช่นไร จะให้ปรนนิบัติพัดวีหรือช่างน่าขัน เอาอกเอาใจยิ่งแล้วใหญ่ กระดากใจยิ่งนัก
“อ๋อวันแรกงั้นหรอ งั้นไม่ถือสากันนะถ้าจะล่วงเกิน” เธอหยิบแคปซูลสีฟ้าหยดลงบนดวงตาอีกสองสามหยด ก่อนจะเป็นฝ่ายขยับแนบชิดร่างกายแกร่ง มือนุ่มลูบไล้ใบหน้าที่เธอเองก็มองไม่ชัด ลมหายใจอุ่นร้อนจากร่างเล็กรดลำคอหนา คมเขี้ยวแหลมคมงอกเตรียมฝังลงบนซอกลำคอ หมายลิ้มรสเลือดเข้มหอมหวานที่ยั่วยวนเธอมานาน
ปัง!
“ดารินทร์!!!” สุรเสียงเกรี้ยวกราดตวาดเสียงดังลั่น หลังบานประตูหนาถูกกระชากเปิดออก ร่างสูงใหญ่กำยำพรวดพราวถึงตัวเธอในพริบตาเดียวก่อนคมเขี้ยวของเธอจะได้ลิ้มรสเลือด มือหนากระชากแขนเรียวสุดแรงจนเธอปลิวกระแทกอกแกร่ง
“นายน้อย!” ดารินทร์แขนขาอ่อนแรงพิงซบอกแกร่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ โชคดีที่ดวงตาเธอพร่ามัวจนมองไม่เห็นสีหน้าตึงเครียดของจอมมาร
“น้ำของฉันยังไม่ทันแห้งก็วิ่งแจ้นมาหาน้ำแหล่งใหม่อย่างนั้นรึ” ราอูลกระซิบข้างใบหูด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมดุดัน แววตาวาวโรจน์ของเขาในตอนนี้น่ากลัวจับใจ
“อยากยั่วมากนักทำไมไม่ยั่วฉัน ฉันจัดให้เธอได้ง่ายๆ” ราอูลมองเสื้อเชิ้ตปลดกระดุมของเธอเผยเนินอกอวบอิ่ม สีหน้าพลันเดือดดาลกว่าเก่า
“......”
โจชัวมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้ายิ้มเยาะ เขาหาได้เกรงกลัวชายหนุ่มคนตรงหน้าไม่ เขาส่งยิ้มทะเล้นส่งให้ราอูลศัตรูคู่แค้น เขากับราอูลเคยสู้กันมาหลายครั้งหลายหน เหตุทับซ้อนพื้นที่ปกครองแวมไพร์ระหว่างสองตระกูล ผลคือสูสีเจ็บหนักเท่ากัน
“สะเออะมายุ่งกับคนของกู มึงอยากตายใช่ไหมไอ้โจชัว” ราอูลเค้นเสียงลอดไรฟัน แววตาสีนิลประกายแวววับพร้อมปะทะกับชายหนุ่มคนตรงหน้า สองแขนแกร่งประคองร่างเล็กในอ้อมแขนแน่น
“โจชัว?” ร่างเล็กขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเขา ให้ตายเถอะเขาเนียนเข้ามาภายในห้องของเธอได้อย่างไร
“คนของมึง? หมายถึงคนในตระกูลมึงน่ะหรอ แค่บังเอิญเจอสวยสมคำร่ำลือดี ทำไมมึงมีปัญหาหรือไอ้ราอูล”
“บังเอิญเจอ ถุ้ย! คนร้อยเล่ห์อย่างมึงจะบังเอิญเจอ มึงไปโกหกให้เด็กอมมือฟังเถอะไอ้ลูกหมา เดี๋ยวกูกลับมาซัดมึงแน่นอน มึงอย่าไปไหนล่ะ!” มีหรือจะบังเอิญสองตระกูลไม่ถูกกันมาแต่ไหนแต่ไร วันนี้มันกลับมาเหยียบคลับของตระกูลเอนส์เวิร์ธ หากผู้จัดการร้านไม่โทรรายงานเขาว่ามันมา เขาก็คงไม่รู้ว่าดารินทร์เองก็อยู่ที่นี่
“ตามสบาย” โจชัวยียวนกวนประสาทไม่ลดละ ยิ่งเห็นสีหน้าท่าทางของราอูล เขายิ่งรู้สึกสนุกอย่างไรไม่รู้
ร่างสูงยกหญิงสาวร่างเล็กตัวดีพาดบ่าเดินเลี่ยงออกไปนอกคลับ รถยนต์เจ็ดที่นั่งคันยาวจอดรอบริเวณหน้าบานประตู ราอูลโยนหญิงสาวลงบนเก้าอี้ภายในรถยนต์ ดารินทร์ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด เขาเห็นเธอเป็นตัวอะไรโยนทิ้งอย่างกับสิ่งของ ไม่ทะนุถนอมเธอบ้างเลย
ปัง!
มือสากปิดบานประตูสไลด์รถยนต์เสียงดังทำเอาเธอสะดุ้งโหยง ฤทธิ์แคปซูลเลือดหมาป่าที่เธอพึ่งจะใช้มันยังคงออกฤทธิ์ต่อเนื่อง
“เธอจะดื่มเลือดมันงั้นหรอ ถ้าฉันเข้าไปไม่ทันเธอคงจะดื่มเลือดชั่วของมันแล้วใช่ไหม” ราอูลเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นยะเยือก เขานั่งข้างเธอปรายหางตามองสภาพมึนเมาไร้สติของหญิงสาว มันทำให้เขาโกรธและคลั่งจนกายแกร่งสั่นสะท้าน
“ค่ะนายน้อย” เธอตอบตามความจริง
“เลือดของคนตระกูลเอนส์เวิร์ธไม่ได้ทำให้เธอจำใส่สมองว่าเธอเป็นคนของใครเลยว่างั้น”
“ผิดไปแล้วค่ะนายน้อย”
“ไปยั่วมันท่าไหนล่ะมันถึงจะให้เธอดื่มเลือดของมัน สภาพเมามายขนาดนี้ หึ... ที่ผ่านมาตีหน้าซื่อไร้เดียงสา”
“ฉันก็ไม่เคยบอกว่าฉันไร้เดียงสานะคะนายน้อย แล้วฉันเองก็มีประสบการณ์เรื่องนี้แล้วด้วย ขอบคุณนายน้อยที่สั่งสอนประสบการณ์ด้วยนะคะ” ครั้งนี้เธอตอบโต้เขาด้วยวาจาเฉือดเฉือนกลับ
“เธอกล้าต่อปากต่อคำกับฉันอย่างนั้นหรอ อยากเจ็บตัวว่างั้น” ราอูลจ้องมองดวงหน้างามสุดแสนจะเย่อหยิ่งเขม็ง
“เจ็บตรงไหนหรอคะนายน้อย” ดารินทร์ลืมตาช้อนมองใบหน้าหล่อเหลาของคนด้านข้าง ในเมื่อเธอหลีกเลี่ยงเขาแล้วเขากลับไม่ยอมลดราวาศอก ครั้งนี้เธอจะทำให้เขาสยบแทบเท้าเธอให้ได้!
จงเกลียดจงชังเธอถึงเพียงนี้ ร้ายกาจใส่เธอครั้งแล้วครั้งเล่า ทำร้ายร่างกายและจิตใจเป็นที่สุด ที่นี้ก็มาวัดกันว่านายหรือฉันจะใจแข็งกว่ากัน
สติที่เหลืออันน้อยนิดตัดสินใจกล้าบ้าบิ่นและไร้ยางอาย เธอไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
“อย่ามาทำหน้ายั่วยวนใส่ฉัน น่ารังเกียจ!” มือหยาบบีบลำคอขาวผ่องเต็มแรง กระนั้นดารินทร์ยังคงคลี่ยิ้มไร้สีหน้ากังวลเฉกเช่นเดิม
“ฉันเปล่านะคะนายน้อย” ฝ่ามือเล็กลูบไล้ลำแขนแกร่งไปมาแผ่วเบา
“เธอจะทำอะไร” เขางุนงงกับท่าทีของเธอหรือเธอจะเมาจนขาดสติ
“อยากรู้ก็ปล่อยมือสิคะ” ดารินทร์เอ่ยเสียงหวานพลางมือมือสากที่บีบคอเธอแน่นไม่ยอมปล่อย ราอูลคลายมือผละออกจากลำคอขาว
“เมาจนเป็นบ้าไปแล้ว” ราอูลสบถ ดวงตาคมเข้มมองร่างเล็กที่บัดนี้ย้ายมานั่งคุกเข่ากลางหว่างขาของเขา กางเกงแส็ลคสีดำถูกปลดกองกับพื้นเผยแก่นกายตัวเขื่องเต่งตึงสู้มือน้อย สองมือนุ่มกอบกุมความแข็งขึงแทบไม่มิด ราอูลแสดงสีหน้าเรียบเฉย รอดูปฏิกิริยาของเธอ
“ขับวนไปก่อนยังไม่ต้องกลับบ้าน อย่าหันมา ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปมึงตาย...” ราอูลสั่งกำชับคนขับรถ เขารู้งานปิดกระจกฟิล์มมืดคั้นกลางบริเวณหน้ารถและหลังรถให้นายน้อยอีกต่างหาก
ริมฝีปากเล็กครอบครองแก่นกายตัวเขื่องเกือบครึ่งลำ ลิ้นเล็กกวัดหยอกเย้าบริเวณส่วนหัวซ้ายทีขวาที ริมฝีปากเล็กรุกรานความเป็นชายครั้งแล้วครั้งเล่า มือนุ่มลูบไล้ต้นขาแกร่งอย่างเอาใจ
“อ่าส์...” ชายหนุ่มคำรามพึงพอใจในลำคอ นัยตาสีนิลก้มมองหญิงสาวใช้ริมฝีปากครอบครองความเป็นชายของเขาด้วยสีหน้าหยิ่มกระหยอง
ดารินทร์ช้อนมองใบหน้าของชายหนุ่มที่บ่งบอกถึงความพึงพอใจ เขาเกร็งกระตุกพร้อมปลดปล่อยสายธารรักอุ่นข้น ริมฝีปากผละออกมาก่อนที่เขาจะสุขสม
“ใครใช้ให้เธอหยุด” เขาเอ่ย รู้สึกขัดใจเป็นอย่างมาก
“ขอร้องสิคะ”
“กล้าใช้ไม้นี้กับฉันหรอสำคัญตัวผิดไปหรือเปล่า คนอย่างเธอได้แตะต้องตัวฉันก็ดีแค่ไหน”
“เรื่องนี้มันมีชนชั้นด้วยหรอคะ มันก็มีแค่นายน้อยกับฉัน ยอมให้สักเรื่องคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้งคะนายน้อย” หญิงสาวแสร้งทำหน้าไขสือ
“จัดการมันต่อเดี๋ยวนี้”
“......” มือนุ่มปลดเสื้อเชิ้ตสีขาวชุดชั้นในสีดำปลดให้พ้นเรือนร่างเหลือเพียงกระโปรงสีดำ ใบหน้าสวยสุดเร่าร้อนขยับเคลื่อนชิดจมูกโด่งสัน ริมฝีปากเล็กซุกซนไล่พรมจูบทั่วใบหน้าหล่อ
“เมาจนสติฟั่นเฟือน” ราอูลสบถ บัดนี้หญิงสาวที่เขาเคยรังเกียจ รังแกกลายมาเป็นหญิงสาวผู้ยั่วยวน เร่าร้อน ดวงตากลมโตน้ำตาคลอเบ้าเมื่อก่อนตอนนี้กลับจ้องมองเขาจนลมหายใจสะดุดขาดช่วง
“แค่อ้อนวอนขอร้องฉันคำเดียว ฉันจะปรนนิบัติให้คุณแบบถึงใจจนไม่เหลือน้ำให้ใครได้ใช้ต่อ” ริมฝีปากสีแดงสดขบเม้มใบหูหนา ลิ้นร้อนเลียวนใบหูหนา ทำเอาชายหนุ่มขนแขนลุกซู่
นิ้วมือเรียวไล่วนยอดอกแกร่งอย่างยั่วยวน ชายหนุ่มสะกดกลั้นเสียงคำรามครางต่ำในลำคอ เพียงแค่คืนเดียวเธอสามารถนำบทรักที่เขาสั่งสอนเธอ กลับมาใช้กับอาจารย์เสียได้แถมยังทำได้ดี
“พูดสิคะนายน้อย” เธอเอาคืนเขาได้เจ็บแสบยิ่งนัก ยัยเลือดผสม!
“ดารินทร์! อย่าทำแบบนี้แล้วอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
“ดารินทร์อยากรักนายน้อยจะแย่อยู่แล้วนะคะ ไม่คิดถึงเพลงรักที่นายน้อยบรรเลงเมื่อคืนหรอคะ ” ร่างเล็กเอ่ยเสียงหวานหยดย้อย ย้ำเตือนเหตุการณ์สวาทที่เขาเป็นผู้บรรเลงจนเกือบเช้า
คิดถึงสิ...
เขาคิดถึง...
คิดถึงยามที่ร่วมรักกับเธอ...
คิดถึงเรือนร่างเย้ายวนของเธอ...
หากแต่กระดากอายที่จะเอื้อนเอ่ยออกไป...
“อ้อนวอนสิคะที่รัก” ความอดทนของเขาขาดผึ่ง เธอเรียกเขาว่าที่รักอย่างนั้นหรือ ท่าทางออดอ้อน น้ำเสียงหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า ล่อหลอกชายหนุ่มผู้ที่เคยดุดันให้ลุ่มหลงได้อย่างง่ายดาย
“เมื่อกี้เธอเรียกฉันว่าอะไร”
“ที่รักไงคะ อ้อนวอนขอรักกับฉันสิคะที่รัก”
“หึ...วันนี้ถือว่าฉันอยากปลดปล่อยพอดี”
“......”
“รักกับฉันนะดารินทร์ฉันขอ” สิ้นสุรเสียงหญิงสาวยกยิ้มพอใจ เก้าอี้หนังสีดำถูกปรับเอียงไปทางด้านหลัง ปราการเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายถูกกระชากออกรวดเร็ว
มือหนาจับสะโพกกลมกลึงนั่งคล่อมตักหนา ทาบทับแก่นกายตัวเขื่องทีเดียว เสียงร้องครวญครางหฤหรรษ์ดังขึ้น เขาสองคนไร้ความเขินอาย ชายหนุ่มที่คลั่งไคล้ลุ่มหลงในเรือนร่างอวบอิ่มไม่ยอมออกห่างจากเธอ ปากพร่ำบอกถึงความพึงพอใจในตัวเธอ บทรักที่เคยบรรเลงมากับใครหลายคน ยังไม่ดุดัน เร่าร้อน และสุขสมเท่าบทรักที่บรรเลงร่วมรักกับเธอแม้แน่หนเดียว
เขากลายเป็นคนตระหรี่ถี่เหนียวอยากซ่อนเร้นตัวเธอออกจากโลกภายนอก กักเก็บเรือนร่างนี้ออกห่างจากผู้คน ไม่หวังให้ใครมาซ้ำรอยบทรักของเขา เธอปรนเปรอความสุขสมให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เธอสามารถยอมรับรสนิยมทางเพศที่รุนแรงของเขาโดยไม่ปริปากก้องร้อง กลับตอบโต้เขาดุเดือดเช่นเดียวกัน เขาบีบคอเธอรุนแรงเพียงใด เธอเองก็บีบลำคอเขาคืนรุนแรงเช่นเดียวกัน
เนิ่นนานกินเวลาหลายชั่วโมงกว่าเพลิงราคะเพลิงนี้จะดับมอด สองร่างหิวกระหายกันและกัน เติมเต็มกันและกันจนอิ่มแปล้...