อาหารมื้อเย็นเมนูเด็ดของวันนี้ก็คือปลากะพงทอดน้ำปลาสูตรลับที่มัดใจเจ้านายของบ้านมานานกว่ายี่สิบปีเต็ม ป้านวลลงมือทำเองทุกขั้นตอน ส่วนพรรณนิการ์รับหน้าที่เป็นลูกมือที่รู้ใจแม่ครัวใหญ่ไปเสียหมด เพียงสบตาก็รู้ว่าต้องหยิบจับอะไร สองป้าหลานลงครัวทีไรบ่าวไพร่คนอื่นพลอยสบายและอิ่มท้องลาภปากกันเป็นแถว
“หอม นุ่ม กรอบ จะหาใครทำปลากะพงทอดน้ำปลาได้อร่อยเท่าป้าของหวานไม่มีอีกแล้ว” หลานสาวคนสวยป้อยอคำโต มือเรียวตักข้าวสวยร้อนๆ วางตรงหน้าคนทำ
“พูดเกินไป สมัยนี้ร้านอาหารดีๆ มีถมเถ”
ป้านวลลงมือรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เป็นมื้อแรกในรอบหลายสัปดาห์ที่ได้ทานข้าวร่วมกับหลานรัก
“ร้านอาหารพวกนั้นสู้ฝีมือป้าไม่ได้สักคน” การันตีด้วยเสียงชื่นชมของเจ้านายบนตึกใหญ่ ผ่านไปกี่สิบปีทุกคนก็ยังเรียกร้องให้ป้านวลทำเมนูนี้อยู่เรื่อยๆ เรียกได้ว่าติดใจรสมือป้านวลจนไม่สามารถไปทานที่ไหนได้อีกแล้ว
“แล้วสอบเป็นยังไงบ้างลูก ทำได้ไหม”
“สบายมากค่ะ หวานอ่านและติวอย่างเต็มที่ รับรองว่าคว้าเกียรตินิยมอันดับหนึ่งมาให้ป้าได้ชื่นใจแน่นอนจ้ะ” พรรณนิการ์ยิ้มกว้างอวดไรฟันขาวสะอาด อาหารจะอร่อยขึ้นก็ต่อเมื่อได้ทานร่วมกับคนในครอบครัว ได้ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบซึ่งกันและกัน
“ดีแล้วลูก ความจริงป้าเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าเราจะต้องได้เท่านั้นเท่านี้หรอกนะ คนไร้การศึกษาอย่างป้าหวังเพียงแค่หลานเรียนจบมีหน้าที่การงานที่ดี อนาคตจะได้ไม่ต้องเป็นคนใช้เขาไปจนตายแบบป้า”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นหาใช่ตัดพ้อชีวิตแสนยากจนไม่ ป้านวลกำลังถ่ายทอดความจริงใจส่งไปยังร่างบางตรงหน้า สายตาที่ทอดมองหญิงสาวเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักอันบริสุทธิ์
“แต่ป้าก็จงรักภักดีต่อคนบ้านนี้ไม่ใช่หรือจ๊ะ”
พรรณนิการ์พูดไปตามที่เห็น ตั้งแต่เล็กจนโตเธอถูกสอนให้สำนึกในบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนของคนตระกูลเวลล์เสมอมา พวกเขาเป็นมากกว่าเจ้านายที่เลี้ยงลูกน้องด้วยเงิน แต่พวกเขาคือเทวดาที่โอบอุ้มทุกคนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ใส่ใจและไม่เคยทอดทิ้งยามเกิดปัญหา
“นั่นเพราะเขาดีกับเรามากโดยเฉพาะกับตัวหวานเอง คุณกรองแก้วเขาเอ็นดูหวานมากนะลูก ไม่เช่นนั้นเขาไม่ส่งเสียค่าเล่าเรียนให้หวานตั้งแต่เล็กจนถึงตอนนี้หรอก ไหนจะส่งไปเรียนพิเศษเพื่อฝึกภาษาที่เมืองนอกเมืองนาอีกล่ะ คุณแดเนียลก็เหมือนกัน คอยถามไถ่ป้าตลอดว่าเมื่อไรหวานจะเรียนจบ เขาจะให้หวานได้ทำงานตำแหน่งดีๆ ที่บริษัทฯ ของเขา ป้าล่ะปลื้มใจเหลือเกิน หลานสาวของป้าเป็นเด็กดี น่ารัก ใครๆ ต่างก็รักและเอ็นดู” คนพูดเอื้อมมือลูบศีรษะทุย สัมผัสอ่อนโยนลบล้างความเหนื่อยล้าไปจากกาย ไออุ่นจากฝ่ามือของป้าเปรียบดั่งยาวิเศษ
“แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะป้า”
“หือ หมายความว่ายังไง” หญิงกลางคนขมวดคิ้วถาม
“ก็คุณแดนนี่ของป้าไง รายนั้นเกลียดหนูจะตายไป”
นึกถึงเขาทีไรพานอารมณ์เสียกินข้าวกินปลาไม่ลงทุกที ผู้ชายอะไรหน้าตาดูดีเสียเปล่า ชอบปากเน่าปากหนอนใส่เธอ
“คุณแดนน่ะรึ เอ… ป้าว่าเขาก็เอ็นดูเราดีนะ ทำไมถึงคิดว่าเขาเกลียดล่ะ”
“ก็เขาชอบ…” พรรณนิการ์ชะงักคำพูดไว้ เธอจะให้ป้านวลรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าแดนนี่มีพฤติกรรมคุกคามเธอเกินกว่าเจ้านายและลูกน้อง
“ชอบอะไร” ทว่าคนแก่กำลังติดลม อยากฟังต่อให้จบ
“ไม่มีอะไรหรอกป้า หวานแค่กำลังจะบอกว่าเขาชอบหาเรื่องแกล้งหวานตั้งแต่เด็กละ” พรรณนิการ์ปรับสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงพิรุธใดๆ
“เอาน่า คุณแดนเขาใจดี ที่แกล้งเราตอนเด็กๆ ก็คือเอ็นดูนั่นแหละ อย่าไปถือสาคุณเขาเลยนะ” ป้านวลคิดว่าพรรณนิการ์แค่เคืองใจแดนนี่เพราะเคยถูกแกล้งเมื่อครั้งเยาว์วัย
“อิ่มแล้วหรือจ๊ะ” หลานสาวคนสวยเอ่ยถามหลังเห็นป้ายกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“ไม่ค่อยสบายกินอะไรไม่ค่อยลงหรอก แต่วันนี้ดีหน่อยที่ได้กินข้าวกับหลานเลยได้หลายคำอยู่” ป้านวลหัวเราะเบาๆ
“งั้นป้าขึ้นไปนอนเถอะจ้ะ เดี๋ยวทางนี้หวานจัดการเอง”
“ขอบใจนะลูก เราเองก็อย่านอนดึกให้มากนักนะ สอบเสร็จแล้วก็พักผ่อนเยอะๆ นอนเอาแรงให้มากๆ หรือถ้าอยากไปเที่ยวก็ไป ป้าไม่ห้ามเลย ถือว่าพักผ่อนสมอง” ป้านวลอนุญาตและเข้าใจวิถีชีวิตวัยรุ่นสมัยใหม่
“ไว้ถ้าหวานอยากไปไหน หวานจะบอกนะจ๊ะ”
แต่พรรณนิการ์ไม่เหมือนใคร หล่อนไม่ชอบเที่ยวและไม่ชอบอยู่ในสถานที่ที่มีคนแออัด ลำพังเดินห้างฯ เต็มที่ก็แค่สิบนาที มากกว่านั้นคือเบื่อและอยากกลับบ้าน ร่างบางจัดการล้างถ้วยชามเสร็จสิ้นก็เตรียมจะขึ้นห้องนอน ทว่าบุคคลที่ยืนตระหง่านวางท่าอยู่กลางห้องโถงเป็นเหตุให้ใบหน้าหวานถึงกับฉงน ไม่คิดว่าเขาจะกล้าบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวในยามวิกาลเช่นนี้
“คุณแดน!” แดนนี่สอดมือล้วงกระเป๋ากางเกงพลางเดินสำรวจบ้านอย่างย่ามใจ นานแล้วสินะที่เขาไม่ได้ย่างกรายเข้ามาในเรือนหลังเล็ก ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม สะอาดและร่มรื่นด้วยพรรณไม้นานาชนิด
“ป้านวลขึ้นนอนแล้วหรือ” เขาเอ่ยถามขณะหยิบกรอบรูปภาพดอกซากุระที่วาดด้วยพูกันสวยงามขึ้นมอง พรรณนิการ์แย่งสิ่งของออกจากมือหนา หางตาตวัดมองค้อนแสดงชัดว่าไม่พอใจ
“ฝีมือการวาดภาพด้วยสีน้ำของเธอยังสวยเหมือนเดิมเลยนะ” เขาชื่นชมจากหัวใจ
“กรุณากลับไปค่ะ”
“ทำไมฉันต้องเชื่อเธอด้วยล่ะ” ชายหนุ่มเลิ่กคิ้วถามยิ้มๆ
“คุณไม่ควรเข้านอกออกในบ้านคนอื่นยามวิกาล มันเสียมารยาท”
เสียงหวานเน้นหนักประโยคสุดท้าย แทนที่แดนนี่จะสำนึก เขากลับเงยหน้าหัวเราะชอบใจ
“ให้ตายเถอะสาวน้อย ลืมอะไรไปหรือเปล่าว่าที่นี่มันบ้านฉัน”
ดวงตาคมกร้าวถือดี พรรณนิการ์เม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงหลังถูกตอกหน้าด้วยความจริงที่เธอไม่อาจปฎิเสธได้
“แต่คุณท่านทั้งสองยกบ้านหลังนี้ให้เป็นที่พักอาศัยของฉันกับป้า ดังนั้นต่อให้คุณเป็นเจ้าของบ้านก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะเดินเข้าเดินออกได้ตามอำเภอใจ”
“สรุป… ต้องการให้ฉันออกไปว่างั้น” แดนนี่เอียงคอถาม เขาดุนลิ้นดันกระพุ้งแก้มท่าทีกวนประสาท
“ค่ะ” พรรณนิการ์เชิดหน้าตอบ ดวงตากลมโตไร้ซึ่งความเกรงกลัว หล่อนหยิ่งผยองหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ คงคิดว่ามีพ่อแม่ของเขาให้ท้ายกระมังถึงกล้าต่อปากต่อคำกับเขา
“งั้นออกไปคุยกับฉันข้างนอก”
“ปล่อยนะ นี่คุณจะทำอะไร โอ๊ย! คุณแดนนี่ฉันเจ็บนะ”
แดนนี่คว้าแขนเรียวลากร่างบางออกมายืนหน้าบ้านได้สำเร็จ
พรรณนิการ์ไม่ลืมปิดประตูกระจกและเงยหน้ามองขึ้นไปยังระเบียงห้องนอนของป้านวล
“ป่านนี้แกหลับไปยันไหนแล้ว” เสียงเข้มๆ พูดขึ้นอย่างรู้ทัน เขาทิ้งตัวนั่งบนม้าหินอ่อนแต่สายตาจับจ้องคนตัวเล็กไม่วาง
“พรุ่งนี้ว่างไหม”
“ถามทำไมคะ”
“แค่ตอบว่าว่างหรือไม่ว่าง” ชักเริ่มหงุดหงิดแล้วนะ เคยมีสักครั้งไหมที่หล่อนจะทำตัวว่านอนสอนง่ายให้เขาชื่นใจ
เด็กบ้าอะไรวะ!
“ไม่ว่างค่ะ”
“ไปไหน”
“นอน”
พระเจ้า! ดูคำตอบของหล่อนเสียก่อน มันน่าจับจูบให้หลาบจำ