ช่วงเย็นอากาศเริ่มเย็นสบายไม่ร้อนเหมือนช่วงกลางวัน ชายหนุ่มกำลังปั่นจักรยานกลับบ้านด้วยความเหนื่อยล้า เนื่องจากวันนี้ที่ทำงานค่อนข้างยุ่ง มีเอกสารหลายอย่างที่ต้องรีบเร่งรวบรวมหลักฐานของหลาย ๆ คดีความ ก่อนหน้านี้เขาไม่จำเป็นต้องทำงานพวกนี้ ออกตรวจตราโดยรอบไม่ค่อยได้ทำเอกสาร แต่บังเอิญว่าพนักงานแผนกนี้ลาหยุด เขาจึงต้องทำหน้าที่พิจารณาเอกสารบางส่วนแทนไปก่อน
เพราะชายหนุ่มทำงานหนักมาตลอดไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัว จึงเป็นข้ออ้างของใครบางคนว่าอยากหย่า ไม่อยากใช้ชีวิตกับคนอย่างเขา หยางฮ่าวเทียนจอดรถจักรยานไว้ที่หน้ารั้วบ้านกำลังเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับถอนหายใจ คงเป็นอีกวันที่ต้องรบรากับคนที่มีใจออกห่าง
“พ่อครับ”
เสียงเล็ก ๆ ของลูกชายดังขึ้นเมื่อเขากำลังเดินเข้าประตูบ้านไป ชั้นอิฐเรียงตัวไปตามความสูงของบันไดถูกกั้นด้วยขอบประตูไม้ซึ่งมีความแข็งแรงอยู่มาหลายชั่วอายุคน หยางฮ่าวเทียนมองเห็นลูกชายหน้าตาสะอาดสะอ้านดูแตกต่างไปกว่าทุกวันวิ่งเข้ามากอดเขาด้วยความคิดถึงเหมือนที่ทำอยู่เป็นประจำ
“พ่อกลับมาแล้ว ทำไมวันนี้พ่อกลับช้าล่ะครับ”
“อวี่หลิน ลูกตัวหอมมากเลย ย่าทวดอาบน้ำให้แล้วหรือ” ชายหนุ่มก้มตัวลงอุ้มลูกชายตัวน้อยขึ้นมากอดและหอมเขาเหมือนทุกวัน
“ไม่ใช่ย่าทวดครับ”
“ถ้าไม่ใช่ย่าแล้วจะเป็นใครได้ หรือว่าลูกอาบน้ำเองได้แล้ว เก่งมาก”
พ่อสามีทำหน้าตากระอักกระอ่วน ไม่ได้คิดจะตอบแต่ก็แค่แกล้งเงียบไม่ยอมตอบ เพราะกลัวว่าจะเสียภาพลักษณ์ที่วางไว้กับหลานสะใภ้ใจดำมาตั้งแต่ต้น
“จะใครซะอีก ก็แม่ของเขายังไงล่ะ” ในที่สุดซู่เจินผู้เป็นย่าทวดก็เป็นคนตอบ เพราะอดพูดไม่ได้เมื่อนึกถึงการกระทำที่หลานสะใภ้ทำตลอดทั้งวันนี้
เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เมื่อก่อนผู้หญิงคนนั้นปฏิเสธการดูแลลูกทุกอย่าง แม้แต่ในวันที่ลูกป่วยหนักก็ไม่เคยสนใจ ซ้ำร้ายเธอยังเคยตะคอกทั้งที่ลูกกำลังเป็นไข้สูง
“จริงหรือครับคุณย่า”
“จริงน่ะสิ ถ้าไม่เชื่อลองถามปู่แกดู พวกเรายังแปลกใจกันมาก แล้วผู้หญิงคนนั้นยังทำอาหารให้เราสามคนกินด้วย มีที่ตกใจกว่านั้นอีกนะ ก็เธอน่ะฝีมือดียิ่งกว่าพ่อครัวในภัตตาคารราคาแพงเสียอีก” เมื่อได้พูดแล้ว ซูเจินก็เอาแต่พูดไม่หยุดถึงความแปลกของหลานสะใภ้
“พวกเราด่าทอเธอก็ไม่ยอมปริปากเถียงเหมือนทุกครั้ง ยังเอาอกเอาใจอวี่หลินจนยิ้มหน้าบานทั้งวันด้วย”
เรื่องราวพลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือแบบนี้ไม่มีใครสบายใจเลยสักคน เพราะรู้ดีว่าผู้หญิงอย่างหลินจินเว่ยร้ายกาจขนาดไหน ทุกคนต่างคิดว่าเธอมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจแน่ ๆ เพราะก่อนหน้านี้เธออยากหย่าใจจะขาด แต่เพราะเขาเคยรับปากพ่อของเธอไว้ว่าให้โอกาสเธอปรับปรุงตัวเองสักระยะ
แม้จะผ่านมาหลายปีเธอก็ยังร้ายกาจไม่เปลี่ยนแต่กลับนิสัยแย่มากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าเขาก็ยังทนเธอมาได้ หรือว่าจะถึงเวลาสมควรหย่าให้เธอแล้วจริง ๆ
“ตอนนี้เธออยู่ไหนครับคุณปู่คุณย่า”
“ก็ยังอยู่ในบ้านนั่นแหละ ไปดูเอาเองเถอะ ฉันไม่อยากสนใจมาก” หยางตงฉือเข้าขั้นเกลียดหลานสะใภ้คนนี้มาก แต่เพราะหลานชายยังยอมทนเขาจะพูดอะไรได้ และไม่มีใครอยากให้เหลนกำพร้าแม่ก็ต้องทนกันต่อไป
ชายหนุ่มส่งลูกชายให้ไปเล่นกับหญิงชราเหมือนเดิม ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปภายในบ้านด้วยความรู้สึกสับสน แต่เมื่อเข้ามาภายในบ้านกลับได้กลิ่นหอมของความสะอาด มองไปโดยรอบแม้เมื่อก่อนจะไม่ได้รกอะไรมาก แต่ตอนนี้กลับมองไปทางไหนก็สบายตา
เขายังคงเดินขึ้นไปชั้นบนของบ้านเข้าสำรวจห้องตัวเองว่าผู้หญิงคนนั้นแอบมาขโมยหรือทำตัวประหลาดอะไรที่นี่บ้าง แต่ไม่เลย ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม สะอาดจนน่าแปลกใจ
“เธอเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ หรือนี่คิดจะทำอะไรกันแน่หลินจินเว่ย”
เขารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินลงไปยังชั้นล่างของบ้าน มีเสียงคนกำลังสับหมูอยู่ในครัว กลิ่นหอมของอาหารที่ไม่คุ้นเคย เขาเดินไปจนหยุดจ้องมองเธอเงียบ ๆ
รูปร่างบอบบางของหญิงสาวที่อยู่ในชุดกระโปรงยาวสีเขียวอ่อนถึงกลางหน้าแข้ง ท่าทางกระฉับกระเฉงของหลินจินเว่ยเมื่ออยู่ต่อหน้าเตาไฟคล้ายกับลักษณะของแม่ครัวใหญ่ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
เสียงรองเท้าที่เดินมาอยู่ทางด้านหลังทำให้หญิงสาวเหลียวกลับมามอง ครั้งแรกสายตาของเธอมองไปที่ใบหน้าหล่อเหลา กลับรู้สึกกระดากอายเล็กน้อยเมื่อสำนึกได้ถึงความผิดของตัวเองในอดีตที่ผ่านมา แต่เธอตั้งใจแล้วว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อลูกจึงยอมทำทุกอย่าง
“กลับมาแล้วหรือคะ พอดีเลยกับข้าวใกล้เสร็จแล้วค่ะจะได้กินพร้อมกัน”
“เธอทำกำลังคิดจะอะไรกันแน่ แค่วันนี้ผมไม่ไปสำนักงานเขตเพื่อหย่า คุณถึงต้องคิดแผนการใหม่มาจัดการเลยหรือ” ชายหนุ่มถามออกไปตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม
วันนี้จริง ๆ แล้วเธอนัดเขาไปเซ็นใบหย่าที่สำนักงานเขต แต่เขางานยุ่งมากปลีกตัวไปไม่ได้ และคิดว่าอีกฝ่ายคงแค่เรียกร้องความสนใจเพราะอยากได้เงินเพิ่มเหมือนทุกครั้ง
“ฉันก็ทำกับข้าวอยู่ไงคะ ส่วนเรื่องหย่าลืมไปได้เลย ต่อไปฉันไม่ทำแบบนั้นแล้ว ฉันจะเป็นแม่ที่ดีให้อวี่หลิน ฉัน... ขอโทษ เอ่อ... กลิ่นไหม้!” กำลังคิดจะสารภาพบาปแต่จมูกกลับได้กลิ่นอะไรไหม้จึงมองไปที่กระทะหมูตุ๋นที่อยู่บนเตา
“อ้าาา เกือบไปแล้ว หมูตุ๋นของอวี่หลินเกือบไปแล้ว คุณหยิบถ้วยน้ำตรงนั้นให้หน่อยค่ะ เร็ว ๆ สิอย่ายืนนิ่ง ๆ” หลังจากรีบเดินไปดูเธอก็ยกกระทะออกจากเตาใช้ทัพพีคนแล้วบอกให้เขาหยิบของให้เพราะกลัวว่าอาหารจะไหม้หากไม่รีบเติมน้ำเพิ่ม
“ขอบคุณนะคะสามี” หลังจากหยิบของที่เขาส่งมาหญิงสาวยังหันกลับไปพูดกับเขาพร้อมกับยิ้มหวานสดใส
ชายหนุ่มอยากจะพูดบางอย่าง แต่เสียงหัวเราะของลูกชายกำลังวิ่งเข้ามาใกล้ ทำให้เขาตัดสินใจเงียบไปก่อน
“เล่นจนเหนื่อยคงหิวแล้วใช่ไหมอวี่หลิน รอครู่หนึ่งนะเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว มื้อนี้จะกินเองหรือจะให้แม่ป้อนดีล่ะ” หลินจินเว่ยยกมือลูบศีรษะของลูกชายด้วยความเอ็นดู
“คุณเนี่ยนะจะป้อนข้าวลูก” เขาทวนคำเธอด้วยความไม่เชื่อ วันนี้เป็นวันอะไรทำไมผู้หญิงใจร้ายถึงเปลี่ยนมาเป็นแม่คนปกติได้
“ทำไมหรือเมื่อกลางวันฉันยังป้อนเลย แต่เขาอยากลองกินเองฉันเลยป้อนได้ไม่กี่คำ” เธอถามเขากลับด้วยความน้อยใจ แต่ก็รู้ว่าเขาไม่มีทางเชื่อว่าเธอจะน้อยใจจริง ๆ คงแกล้งมารยาเหมือนที่ผ่านมาตอนอยากได้อะไรบางอย่าง
“ช่างเถอะ คุณพาลูกออกไปนั่งรอสักครู่ อาหารเสร็จแล้วฉันจะยกออกไป รอน้ำแกงหมูสับนี่เดือดอีกหน่อยก็เสร็จแล้ว” ไม่อยากทำให้เขาแปลกใจมากเกินไปกับการเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ หลินจินเว่ยจึงเลิกต่อปากต่อคำอีก
“ถ้าคุณว่างก็ยกกับข้าวที่เสร็จแล้วออกไปด้วยก็ได้” ยังเห็นว่าเขายืนทำหน้ามึนตึงอยู่ จึงถือโอกาสรีบเร่งเร้าให้เขาไปช่วยของออกไปเสียเลยจะได้ไม่เกะกะในครัว
“อาหารพวกนี้ ทำเองหรือว่าไปซื้อมาแล้วแอบมาเทใส่กระทะกันแน่” ก่อนออกไปจากครัวเขายังพูดอีกประโยคด้วยความสงสัย
“คุณปู่คุณย่าก็เห็นว่าฉันทำด้วยตัวเองตั้งแต่มื้อกลางวันแล้ว คุณก็อย่าตั้งแง่กับฉันอีกเลย ฉันจะปรับปรุงตัวเองจริง ๆ คุณไม่เชื่อก็แค่รอดู”
พูดไปเขาคงไม่เชื่อ เพราะที่ผ่านมาเธอก็เลวร้ายมากจริง ๆ ต่อไปแค่ทำให้เขาเห็นก็พอ อย่างไรเมื่อทำเรื่องดี ๆ เขาคงไม่คิดหย่ากับเธอแล้ว ในเมื่อก่อนหน้านี้เขาเองที่ไม่ยอมหย่ามาตลอด ต่อไปเธอจะได้สร้างครอบครัวดี ๆ เสียที
“ทุกคนกับข้าวเสร็จหมดแล้วค่ะ มากินพร้อมกันเถอะ” เมื่ออาหารทุกอย่างพร้อมอยู่บนโต๊ะ หลินจินเว่ยจึงเรียกทุกคนมากินข้าวด้วยกัน
“เย้ ดีใจจังได้กินข้าวฝีมือคุณแม่อีกแล้ว” เป็นเด็กชายตัวน้อยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรพูดขึ้นด้วยความไร้เดียงสา เขารีบวิ่งไปนั่งประจำที่นั่งของตัวเองทันที
คำพูดของลูกชายทำให้หยางฮ่าวเทียนแปลกใจอีกครั้ง นี่แสดงว่าที่คุณปู่คุณย่าของเขาพูดไม่ผิด ว่าผู้หญิงคนนี้ทำอาหารอร่อย
คนชราสองคนได้ยินก็เดินมาอย่างกระฉับกระเฉง แม้จะยังรู้สึกว่าไม่คุ้นชินก็ตาม แต่กลิ่นหอมของอาหารก็ทำให้พวกเขานึกถึงสิ่งที่กินเมื่อตอนกลางวันว่าอร่อยมากแค่ไหน จึงลดทิฐินั่งลงที่โต๊ะอาหารอย่างพร้อมเพรียง