บทที่ 4 ในอุ้งมืออุ่น - 3

1535 Words
ในท้องวูบโหวงพร้อมกับส่งเสียงโครกครากทำเอาหญิงสาวต้องเอามือลูบท้องเบาๆ สายตาก็พยายามสอดส่ายมองหา เผื่อว่าชายหนุ่มอาจจะอยู่ ณ มุมใดมุมหนึ่งของเพนต์เฮาส์ห้องนี้ จนกระทั่งกลิ่นอาหารลอยมากระทบจมูก เธอจึงเพิ่งรู้ว่าตนเดินมาถึงบริเวณที่เป็นห้องครัวแล้ว “โอ้โห...” ต้องรักห่อปากตาโตเมื่อเห็นอาหารหลายอย่างวางเรียงกันอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นกระดาษแผ่นเล็กติดอยู่ที่ตู้เย็น สั่งอาหารมาไว้ให้แล้ว กินก่อนได้เลยไม่ต้องรอ จะกลับมาคุยด้วยตอนบ่ายสอง ชนาธิป  “ลายมือสวยจัง” เธอดึงกระดาษแผ่นนั้นมาดูใกล้ๆ อ่านทวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้นพร้อมกับคลี่ยิ้มกว้าง ใบหน้าค่อยๆ ร้อนผ่าวขึ้นเมื่อนึกถึงสัมผัสนุ่มละมุนที่ริมฝีปากก่อนนอนของคืนที่ผ่านมา จนเผลอยกมือขึ้นแตะตรงบริเวณที่ได้สัมผัสกับปากของเขา อดแปลกใจตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเธอไม่รู้จักปัดป้อง ไม่ว่าจะถูกเขาจับมือถือแขน โอบอุ้ม หรือแม้กระทั่งปากแตะกันเพียงนิดอย่างเมื่อคืน แต่แล้วเธอก็ให้เหตุผลกับตัวเองว่าคงเพราะเขาสุภาพ ไม่จาบจ้วงหยาบคายกระมัง ถึงทำให้เธอโอนอ่อนไปกับเขาได้ขนาดนี้ หรือเพราะใจลึกๆ แล้วเธอต้องการไออุ่นจากเขาเช่นกัน ต้องรักพับกระดาษใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงตัวที่ใส่มาตั้งแต่เมื่อคืน แม้เขาจะบอกว่าใส่เสื้อผ้าของเขาได้ แต่...ใครจะกล้า...เธอคงไม่อาจเอื้อมไปถือวิสาสะใส่เสื้อของเขาเดินไปมาอยู่ในบ้านเขาได้หรอก หญิงสาวนั่งลงกินอาหารที่เขาเตรียมไว้ให้โดยที่ไม่ยอมอุ่นให้ร้อนอีกครั้ง เพราะไม่กล้าแตะเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวของเขา ทว่ากินไปได้ไม่กี่คำก็รู้สึกอิ่มตื้อขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไม่ใช่เพราะอาหารไม่อร่อย แต่เพราะอาหารตรงหน้ามีแต่ของดีๆ และราคาก็คงแพงเอาการ เห็นแล้วก็อดคิดถึงมารดาผู้ล่วงลับไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่เงินเดือนออก เธอมักจะพามารดาออกไปหาของอร่อยในห้างสรรพสินค้าด้วยกันเสมอ หยาดน้ำเริ่มรื้นขึ้นคลอหน่วยตาจนกระทั่งไหลลงมาอาบแก้ม ต้องรักใช้หลังมือเช็ดมันลวกๆ ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อไปหยิบน้ำในตู้เย็นมาเทดื่ม และทำท่าจะหย่อนตัวลงนั่งที่เดิมถ้าไม่เพราะเสียงทุ้มๆ เรียบๆ ของใครบางคนดังขึ้น “ทำไมกินน้อยนักล่ะ ไม่ถูกปากหรือ” ร่างสูงของชนาธิปเดินมานั่งลงฝั่งตรงข้ามกับหญิงสาว ในขณะที่ต้องรักอ้าปากค้าง รู้สึกตกใจกับการปรากฏตัวของเขาที่มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง หายตัวมาหรือไงกันนะ ทำไมถึงเดินไม่มีเสียงเลย! “เธอเอาแต่เหม่อ ฉันมายืนอยู่ตั้งนานแล้วเธอไม่รู้ตัวเอง” เขาพูดราวกับล่วงรู้เข้าไปในหัวของเธอว่ากำลังคิดอะไรอยู่ หญิงสาวยิ้มแหยให้เขา เห็นอาหารตรงหน้ายังมีอยู่อีกเยอะเพราะเธอแทบจะไม่แตะต้องมัน จึงลองถามเขาอย่างใส่ใจ “คุณชนาธิปทานอะไรมารึยังคะ คือ...ถ้า...ถ้าไม่รังเกียจก็ทานกับข้าวพวกนี้ก็ได้นะคะเพราะรักทานแค่จานนี้จานเดียวเอง จานอื่นยังไม่ได้แตะเลย” พูดพลางชี้ไปยังอาหารจานหนึ่งที่พร่องไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น “แล้วเธอล่ะ จะรังเกียจรึเปล่าถ้าฉันอยากจะให้นั่งกินเป็นเพื่อนฉันหน่อย” มุมปากชายหนุ่มยกเพียงนิด แต่นัยน์ตาของเขานั้นฉายแววหยอกเย้าอยู่ในที “ฉันไม่ชอบกินข้าวคนเดียว...นะ...กินเป็นเพื่อนฉันหน่อย” คุณพระคุณเจ้า! ประโยคเมื่อครู่นี้เขาอ้อนเธอใช่หรือไม่ ต้องรักไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าได้ตอบตกลงพร้อมกับพยักหน้าช้าๆ ให้เขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “ขอบคุณนะ” เสียงนุ่มๆ ของเขาปลุกให้หญิงสาวตื่นจากภวังค์ในทันที พร้อมกับใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อจนแม้แต่เจ้าตัวยังรู้สึกเลยว่ามันคงจะแดงมาก จึงทำทีเป็นหยิบจานเปล่าที่วางอยู่ข้างๆ มาใส่ข้าวสวยจากกล่องโฟมแล้วหยิบช้อนส้อมวางลงในจานก่อนจะยื่นไปวางให้เขาตรงหน้า ต้องรักลอบมองกิริยาตอนกินอาหารของเขาแล้วก็ได้แต่แอบกรี๊ดอยู่ในใจ เขากินดูน่าเอร็ดอร่อย ในขณะที่เธอกลืนแทบไม่ลง ไม่กล้าเคี้ยวเพราะกลัวเผลอเคี้ยวเสียงดังแล้วเขาจะหาว่าเธอมูมมาม สุดท้ายเลยได้แต่นั่งเขี่ยข้าวในจานไปมาเงียบๆ กุ้งผัดซอสมะขามตัวโตถูกวางลงในจานของต้องรัก ตามมาด้วยปลาช่อนลุยสวนที่หั่นมาเป็นชิ้นๆ หญิงสาวทำตาโตก่อนจะละล่ำละลักบอกเขา “อุ๊ย! เดี๋ยวรักตักเองก็ได้ค่ะคุณชนาธิป รักเกรงใจ” “ธิป” “คะ?” จู่ๆ เขาพูดมาคำเดียวสั้นๆ จนเธอไม่แน่ใจว่าเมื่อครู่เธอหูแว่วไปเองหรือเปล่า “เรียกฉันว่าธิปคำเดียวก็พอ ไม่ต้องเรียกชื่อเต็มหรอก” เขาสบตากับเธอขณะพูด ต้องรักจึงก้มหน้ารับคำเพราะไม่กล้าสบตากับเขานานนัก บอกตามตรงว่าเธอกลัว...กลัวว่าจะห้ามใจไม่ให้คิดเกินเลยกับเขาไม่ได้ เพราะเท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้เธอก็แทบแย่แล้ว เขาคงไม่รู้ตัวเลยกระมังว่าตัวเองได้ก้าวขาเข้ามาในโลกส่วนตัวของเธอแล้วข้างหนึ่ง ดูเขาเจริญอาหารมาก ผิดกับเธอที่กว่าจะจัดการกับข้าวในจานหมดก็เล่นเอาเกือบไม่รอด กับข้าวหลายอย่างบนโต๊ะจึงพร่องลงไปไม่น้อยเลยทีเดียว และดูเขาจะชอบกินกุ้งเป็นพิเศษ เพราะอาหารที่ทำจากกุ้งแทบเกลี้ยงจานเลยก็ว่าได้ มิน่า...ตัวถึงโต๊ โต หญิงสาวได้แต่พูดอยู่คนเดียวในใจ จำได้ว่าเวลาที่เขายืนขึ้นเต็มความสูงนั้น ศีรษะของเธอยังไม่เลยไหล่ของเขาเลยด้วยซ้ำ ตอนที่ยืนใกล้กันเมื่อครั้งที่อยู่ในผับ เวลาคุยกับเขาเธอถึงกับต้องแหงนมองเขาเหมือนหมามองเครื่องบิน “เอ่อ...รักขอใช้ครัวหน่อยนะคะ จะล้างจานน่ะค่ะ” ต้องรักเอ่ยปากขออนุญาตอย่างกล้าๆ กลัวๆ หลังจากที่จบมื้ออาหารแล้ว เห็นเขาชะงักไปเล็กน้อย และทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าแทนการอนุญาตก่อนจะเดินออกจากครัวไปห้องนอนของตัวเอง หลังจากล้างจานให้เขาเสร็จเรียบร้อย ต้องรักก็เดินออกจากครัว กะเอาไว้ว่าจะขอเขากลับไปที่บ้านเพื่อไปขนของที่จำเป็นแล้วออกมาหาห้องเช่าแถวที่ทำงานอยู่ชั่วคราวไปก่อน เธอยังมีเงินค่าช่วยงานศพที่คนละแวกนั้นใส่ซองให้มาอยู่บ้าง เพียงแต่ซ่อนมันเอาไว้ในห้องนอน ภาวนาให้พ่อเลี้ยงหามันไม่เจอ มิเช่นนั้นแล้วเธอก็ไม่รู้ว่าจะหาเงินจากไหนมาเป็นค่าเช่า ร่างเล็กชะงักทันทีเมื่อเห็นร่างสูงคุ้นตานั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนโซฟาตัวยาวหน้าจอโทรทัศน์แอลซีดีขนาดใหญ่ เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดคอวีสีกรมท่ากับกางเกงขาสามส่วนธรรมดาๆ ที่มีกระเป๋าหลายกระเป๋าเหมือนกางเกงทหาร มองแล้วให้ความรู้สึกเป็นกันเองขึ้นมาทันที เธอกล้าพูดเลยว่าเขาดูดีเหลือเกินแม้ว่าจะอยู่ในชุดอยู่บ้านแบบนี้ก็ตาม สายตาคมๆ ของเขาตวัดหันมามองเธอจนอดสะดุ้งขึ้นมาไม่ได้ เห็นเขาพยักหน้าเป็นเชิงเรียกให้เดินเข้าไปหา เธอจึงค่อยๆ เดินเข้าไปหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟาเดี่ยวอีกตัว “พร้อมจะคุยกันรึยัง” เขายกรีโมตขึ้นหรี่เสียงโทรทัศน์ให้เบาลงแล้วหันมามองเธอนิ่งๆ “คุย...เรื่อง?” เธอไม่รู้ว่าเขาอยากรู้เรื่องอะไรของเธอบ้าง จึงต้องถามให้แน่ใจเสียก่อน “เรื่องเมื่อคืน ทำไมเธอถึงได้ออกมานั่งร้องไห้อยู่ที่ป้ายรถเมล์ล่ะต้องรัก” ต้องรักนิ่งไปครู่หนึ่งราวกับกำลังเรียบเรียงเรื่องราวอยู่ในหัวว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี “คือว่าเมื่อคืนรักถูก...” “เข้ามานั่งใกล้ๆ หน่อยสิ นั่งห่างขนาดนั้นฉันฟังไม่ค่อยได้ยิน” เขาพูดออกมาเสียงเรียบๆ ภายใต้ใบหน้านิ่งเฉยเย็นชาอย่างเคยพร้อมกับเอามือตบที่ว่างข้างตัวเบาๆ แต่ทำเอาคนฟังใจสะท้านจนเรื่องที่เตรียมจะพูดให้เขาฟังกระเจิงกระจายหายไปกับอากาศ รู้สึกราวกับสมองว่างเปล่าขาวโพลน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD