ฉีอันฉีละมือจากแก้ม ก่อนยืดตัวตรง มีสีหน้าจริงจัง “ข้าพูด ข้าพูด หากท่านรับปากข้าเรื่องหนึ่ง”
องค์ชายอิ้งเยว่ “ได้ ข้ารับปากเจ้า”
เจ้าตัวเล็กรีบพูด “พี่ชาย ท่านห้ามแพร่งพรายเรื่องที่ข้าเป็นบุรุษออกไปเด็ดขาด อีกทั้ง ห้ามท่านจับข้าด้วย”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย “เหตุใดข้าจับเจ้า?”
หนุ่มน้อยรีบบอก “ท่านเป็นทหารเฝ้ายามไม่ใช่หรือไง! หน้าที่จับกุมผู้บุกรุกวังหลัง หากไม่ใช่ท่าน ไยจะเป็นผู้ใดได้อีก”
องค์ชายอิ้งเยว่รีบก้มมองเครื่องแบบทหารที่ตนสวมใส่ตอนนี้ เขาก็ถึงบางอ้อทันที “อ๋า... ที่แท้ ข้าเป็นทหารยามนี่เอง แต่ตอนนี้ ข้าออกเวรยามแล้ว เจ้าไม่ต้องกลัวข้า ข้าไม่จับเจ้าหรอก”
ฉีอันฉียิ้มออกมาได้อย่างสบายใจ “ดี! เช่นนี้ ข้าก็ไม่ต้องกังวลแล้ว”
หากพบกันวันหน้า ก็ไม่แน่ว่าเขาจะรอดพ้นหรือไม่ ‘ช่างเถอะๆ ข้ากับท่าน พบกันแค่ครั้งเดียวก็พอ’
ดูเหมือนว่า อีกฝ่ายจะอ่านความคิดในหัวของเจ้าเด็กน้อยออก “เจ้าพูดซี้ เหตุจำเป็นของเจ้าคือเรื่องใด ไฉนเจ้าปลอมเป็นสตรีมาอยู่ในวังต้องห้ามเยี่ยงนี้ หากเจ้ายอมพูด บางทีวันหน้าหากได้พบเจ้า ข้าอาจไม่เอาผิดกับเจ้า”
ฉีอันฉีเปลี่ยนท่าทางใหม่ เป็นนั่งงอตัว ผายไหล่แคบเล็กของตนให้ชิดเข่า ก่อนจะยกศอกขึ้นวางบนหัวเข่าทั้งสองข้าง แก้มอุ่นๆ แนบลงกับท่อนแขน ราวกับต้องการที่พักพิง
“ท่านคิดว่าข้าอยากนักหรือไง.. ข้าคงไม่ต้องปลอมตัวเป็นสตรีมา อีกทั้งข้า.. คงไม่ต้องมาทนติดแหง็กในนรกขุมนี้แน่ หากเรื่องทั้งหมด ล้วนมิใช่ความผิดขององค์ชายอิ้งเยว่ผู้มีชื่อเสียงเน่าเหม็นคนนั้น..”
“เจ้าว่าอะไรนะ!! ชื่อเสียง..นะเน่าเหม็นหรือ?” องค์ชายอิ้งเยว่ในคราบทหารยามถึงกับหลุดอาการเผลอลั่นเสียงดังอย่างลืมตัว เมื่อถูกเจ้าเด็กน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมกล้าให้ร้ายตนต่อหน้า พูดถึงเขาในทางเสื่อมเสีย ทั้งที่เขามีฐานะสูงส่งเพียงนี้ เป็นถึงบุตรคนรองของเทียนจื่อเชียวนะ!
“ถูกต้อง! ชื่อเสียงของเขา เหม็นเน่ากว่ากลิ่นผายลมของข้าเสียอีก”
“มะเหม็น... เหม็นกว่ากลิ่นผายลมของเจ้า! นี่เจ้า!!” ใบหน้าหล่อเหลาตื่นตระหนกยิ่งกว่าเห็นผีเสียอีก
ฉีอันฉีเงยหน้ามองคนที่นั่งข้างๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงความขุ่นเคืองของอีกฝ่าย “ท่านจะโกรธแค้นแทนเขาเพื่ออะไรกัน ท่านมิใช่องค์ชายคาวโลกีย์คนนั้นสักหน่อย”
“คะคาวโลกีย์?” ใบหน้าหล่อเหลาเหนือกว่าเทพเซียนประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวเขียว เขากลายเป็นคนลามกจกเปรตในสายตาหนุ่มน้อยคนนี้ไปแล้วหรือนี่? ทั้งที่พรหมจรรย์ของเขายังบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่แท้ๆ!
“ท่านดูนะ บุรุษที่ไหนมีภรรยาเป็นโขยงแล้วยังเที่ยวออกไปเกลือกกลั้วกับนางโลมชั้นต่ำข้างนอกอีก? ท่านว่าองค์ชายผู้นี้มีน้องชายเป็นแท่งทองคำหรือไรกัน มีสนมมากมายล้วนงดงาม เข้าคิวรอร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขา เมื่อไหร่หนอจะถึงคิวข้าเข้าถวายงานกับพระสวามี?” หนุ่มน้อยพูดด้วยท่าทางปากเบี้ยวเบ้ บิดกายสะบัดสะบิ้งเลียนแบบจริตของเหล่านางสนมของพี่เขย ก่อนจะพูดต่อ “เหอะ! เขากลับไม่ไยดี ดูท่าพี่เขยของข้าคนนี้สมองของเขาน่าจะมีปัญหาแล้วกระมัง! คนโง่เขลา บ้าเอ้ย!” ยิ่งพูดยิ่งเจ็บใจ เขาถึงกับกำหมัดทุบลงบนหน้าขาตัวเองอย่างแรงเพื่อระบายอารมณ์กรุ่นโกรธ
“เจ้าว่าอะไรนะ! โง่เขลา... บ้าหรือ?” เสียงของเขาดังกว่าเดิม
เป็นใครจะไม่ตื่นตระหนกเล่า จู่ ๆ ก็มาถูกกล่าวหาว่าเป็นคนมีชื่อเสียงเหม็นโฉ่ อีกทั้งเป็นบุรุษประเภทมักมากในกาม คาวโลกีย์ ชอบกินของเน่าเหม็นอย่างนางโลมในหอคณิกาที่ผ่านมือชายมาแล้วนับร้อยนับพัน เท่านั้นยังไม่พอ เจ้าเด็กน้อยปากสุนัขยังหาว่าชื่อเสียงของเขาเหม็นเน่ากว่ากลิ่นผายลมของมันเสียอีก แถมยังสงสัยว่าสมองของเขามีปัญหา ทั้งโง่ทั้งบ้า! ยิ่งฟัง องค์ชายอิ้งเยว่ก็ยิ่งดูเลวร้ายไปใหญ่ เขาเป็นถึงองค์ชายผู้สูงศักดิ์ ทั้งบริสุทธิ์ผุดผ่องดุจพระพุทธองค์ มิควรมีใครกล้าสามหาวพูดถึงเขาเช่นนี้!
เมื่อถูกคนที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองด่าเอาด่าเอา ก็เริ่มจะรับไม่ได้ เกรงว่าจะระงับอารมณ์โมโหไม่ไหว หรือเผลอจับเจ้าหนุ่มน้อยมาหักคอเสียให้ตาย เพื่อระบายความแค้นให้รู้แล้วรู้รอด องค์ชายผู้น่าเวทนาจึงรีบตัดบทอย่างรวดเร็ว
“พอแล้วๆ เจ้ารีบพูดมาดีกว่า เพราะเหคุอันใดเจ้าเข้ามาในวังต้องห้ามแห่งนี้ ตำหนักไฉ่หงปลูกสร้างไว้อย่างงดงามน่าอยู่แท้ๆ ไฉนเจ้าพูดว่าเป็นดุจขุมนรกได้เล่า”
“หากมิใช่เพราะพี่เยี่ยนฟางของข้าต้องแต่งเข้ามาตำหนักไฉ่หง ไยข้าต้องรนหาที่ตายด้วยเล่า ข้าอยู่แต่ในครัว วันๆ ทำงานงี่เง่ากับสตรีแก่เหล่านั้น ท่านคิดว่าข้า! นายน้อยอันฉีสนุกนักหรือไง ตั้งแต่ข้าจำความได้ ข้าไม่เคยรับใช้ผู้อื่นด้วยซ้ำ”
“อ๋า... ที่แท้ เจ้าก็คือน้องชายของพระชายาเยี่ยนฟางนี่เอง”
“แหงล่ะ! ข้ามีฐานะสูงส่งถึงเพียงนี้ กลับถูกพวกนางทาสในครัวจิกหัวใช้ทุกวี่วัน มือข้าแทบจะหักอยู่แล้วเนี่ย ท่านว่ามันไร้เหตุผลไหมเล่า”
“ไฉนเจ้าไม่ไปอยู่กับพี่สาวของเจ้าในเรือนหมู่ตานฮวา?”
“พี่ชาย ท่านคงลืมไปแล้ว ข้าเป็นบุรุษนะ”
“อ้อ ข้าลืมสนิท... มีกฎห้ามบุรุษที่ไม่ใช่ทหารยามไม่กี่คนที่มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัย เข้ามาอยู่ในนี้เด็ดขาด” กฎข้อห้ามนี้เป็นเทียนจื่อที่ทรงกำหนดขึ้นมาเมื่อครั้งมารดาขององค์ชายอิ้งเยว่ยังมีชีวิตอยู่ แม้บัดนี้มารดาจะสิ้นไปนานแล้ว แต่ก็ไม่มีผู้ใดคิดเปลี่ยนแปลง
“ข้าแค่อยากมาดู หลังแต่งเข้ามาตำหนักไฉ่หงแล้ว ชีวิตพี่หญิงของข้า นางจะเป็นเช่นไร”
“เจ้าเกรงว่านางจะถูกผู้อื่นรังแกงั้นซิ?”
“หากเป็นท่าน ท่านจะไม่คิดเช่นข้าหรือ? องค์ชายอิ้งเยว่มักมากในกาม สตรีตบตีแย่งชิงกันไม่เว้นแต่ละวัน นางเป็นถึงพระชายาเอกเชียวนะ นางอาจถูกคนอื่นรังแกเพราะความอิจฉา อีกทั้งสามีของพี่สาวข้า... องค์ชายอิ้งเยว่ผู้นั้นกลับไม่ไยดีนางด้วยซ้ำ ไม่รู้นางโลมมีดีอะไรนักหนา ไฉนพี่สาวข้าถึงสู้ไม่ได้? ความงามของนางไม่อาจทำให้สามีสนพระทัยได้เลย? ทั้งหมดนี้ท่านว่ามีเหตุผลหรือไม่?”
“เจ้าหนุ่มน้อย ข้าจะช่วยเตือนสติเจ้าให้ก็แล้วกัน เจ้าอยู่ข้างนอกนั่น บางทีเจ้าอาจได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับองค์ชายอิ้งเยว่ที่เป็นเท็จก็เป็นได้นี่ เหตุใดเจ้าถึงด่วนตัดสินว่าพี่เขยของเจ้าเป็นคนชั่วช้าสามานย์ไปแล้วเล่า? เจ้ายังไม่ได้พบเขาจริง ๆ ด้วยซ้ำ ไฉนเจ้าไม่ให้โอกาสเขาได้อธิบาย?”