ในตำหนักร้างที่ไร้ผู้คน หนึ่งร่างสูงหนึ่งร่างเล็กยังคงนั่งเคียงไหล่สนทนาพาทีอย่างต่อเนื่อง องค์ชายอิ้งเยว่เป็นฝ่ายซักไซ้ถึงที่มาที่ไปจนรู้ชัด ว่าด้วยเหตุผลอันใดหนุ่มน้อยจึงลอบเข้ามาอยู่ในเขตวังหลังของเขาตั้งหลายวัน ปานนี้ไม่คิดกลับออกไป แม้บทสนทนาบางเรื่องเจ้าเด็กปากสุนัขถึงกับว่าร้ายตนในทางเสื่อมเสีย นั่นเพราะมันไม่รู้ ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ผู้ใหญ่เช่นเขาก็ไม่ควรคิดถือสา
ให้ถือเสียว่าไม่เคยได้ยินก็แล้วกัน
จากที่ได้พูดคุยมานานเพียงนี้ เจ้าหนุ่มน้อยกลับเผยให้เห็นหลากหลายมุมมองที่ชวนให้ค้นหา ความซื่อบริสุทธิ์ที่เจ้าตัวแสดงออกโดยไม่เสแสร้งนั้น ทำให้องค์ชายรองเช่นเขาสัมผัสได้ถึงแก่นแท้ในนิสัยของมันอย่างชัดเจน หากคิดคบหาเป็นสหายต่างวัยก็คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร อีกทั้งในใจของเขาเองก็ยังมีปมที่ค้างคามาเนิ่นนาน บางทีเจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้..อาจเป็นผู้ที่ช่วยคลายเงื่อนปมนั้นให้เขาก็เป็นได้
อิ้งเยว่ “เจ้าเป็นบุรุษอายุสิบหก เจ้าเคยนอนกับสตรีหรือยัง?”
ฝ่ายผู้ถูกถามเรื่องประเภทนี้เข้า ฉีอันฉีถึงกับมีท่าทีแตกตื่น “หา! ท่านว่าอะไรนะ!”
“ข้าพูดว่า เจ้าเคยทำเรื่อง... แบบนั้น กับสตรีหรือยัง คือ... แบบ...” อิ้งเยว่รู้สึกกระดากปาก แต่ก็พยายามอธิบาย
“เฮ้! พี่ชาย ไฉนท่านถามถึงเรื่องพรรค์นี้เล่า!” ฉีอันฉีรู้สึกไม่ชอบใจอยู่หน่อยๆ จู่ๆ มาถูกถามเรื่องพรรค์นี้เนี่ยนะ ช่างไม่เหมาะสมเอาเสียเลย ทหารยามผู้นี้พิลึกพิลั่นดีแท้ พบเจอกันครั้งแรกก็ถามเรื่องอย่างว่า ทำราวกับเคยสนิทสนมกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ทั้งที่เพิ่งพบหน้ากันครั้งแรกแท้ๆ
อีกฝ่ายพอเห็นท่าทางแตกตื่นเกินเหตุของเจ้าตัวเล็กก็นึกขบขัน ก่อนรีบเปลี่ยนท่าทีมาเป็นจริงจัง เอามือจับลูกกระเดือกกระแอมหนึ่งทีก่อนพูด “ทำไม... เจ้าไม่กล้าตอบล่ะสิ”
ฉีอันฉีแม้คิดได้ว่ามันไม่ถูกต้องนัก หากแต่ก็มิอาจทนเห็นผู้อื่นมองตนว่าเป็นคนประเภทตาขาวได้เช่นกัน เขาเชิดคางยืดอกพูด “ข้า! นายน้อยฉีอันฉี กล้าเปิดเผยทุกเรื่องอยู่แล้วน่า”
อิ้งเยว่แกล้งกระเซ้า “เจ้านี่นะ เด็กอย่างเจ้า ย่อมไม่เคยนอนกับสตรีล่ะสิ” เขาอายุยี่สิบสอง โตกว่าเจ้านี่ถึงเจ็ดปีเต็ม เขายังไม่เคยนอนกับเพศตรงข้ามเลยสักครั้ง เจ้าเด็กนี่เพิ่งจะสิบหก ไฉนจะเคยนอนกับสตรีเล่า
ทว่าคำตอบกลับมานั้น..
“ข้าเคยซี้ ข้าต้องเคยอยู่แล้ว”
คนไม่เคยสูญเสียพรหมจรรย์มาก่อนถึงกับอึ้งตะลึงงัน ช่างเกินความคาดหมายเสียจริง กลับเป็นคนตั้งคำถามพิลึกพิลั่นเองนั่นต่างหากที่แตกตื่นยิ่งกว่า “เจ้าว่าอะไรนะ! ด้วยวัยสิบหกของเจ้าเนี่ยนะ!!”
“พี่ชาย..ท่านจะแตกตื่นไปไย ร่วมเรียงเคียงหมอนกับสตรีนั้น บุรุษเช่นข้า เช่นท่าน มันก็เป็นเรื่องธรรมดาหรือไม่” เล็กพริกขี้หนูตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ พลางใช้กำปั้นทุบอกเปลือยเปล่าของตัวเองอึกๆ เพื่อเป็นการโอ้อวด เขานี่แหละคือบุรุษเต็มตัว
“สตรีนางใดกัน.. นอนกับเจ้า” คำพูดพึมพำนี้ดุจละเมอราวกับพูดกับตัวเองมากกว่า
“สตรีนางนั้น ข้าเคยนอนกับนาง เมื่อครั้งท่านพ่อท่านแม่เฉลิมฉลองวันครบรอบวันเกิดของข้า”
“เป็นความจริงรึนี่ เจ้าจะบอกว่า ท่านพ่อท่านแม่เจ้า พวกเขาสมรู้ร่วมคิด คือผู้จัดหาสตรีมาให้เจ้าเองอย่างนั้นรึ?”
“หรือว่าท่านพ่อท่านแม่ของท่าน ไม่เคยอนุญาตให้ท่านทำเรื่องพรรค์นั้นเล่า” ถามย้อนกลับทันที
“ข้า...”
อิ้งเยว่อยากตอบเหลือเกินว่า แม่เลี้ยงของเขา อัครมเหสีลู่เสียน ช่างขยันเลือกเฟ้นหาสตรีมาให้เขา คราวละเป็นโขยง หากแต่เป็นเพราะเขาเองต่างหากที่ไม่ปรารถนาทำเรื่องพรรค์นั้นกับพวกนาง
ฉีอันฉี “ข้าขอเดานะ ผู้ใหญ่เยี่ยงท่าน เคยละสิ... ไม่ว่าบุรุษคนใด เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ เรียนรู้เรื่องพรรค์นั้นถือว่าไม่ใช่เรื่องผิดแปลกสักหน่อยนี่”
“ไม่แปลกหรือ? เจ้าอายุเพียงสิบหก มิใช่หรือไง” เจ้าเด็กนี่ดูแก่แดดแก่ลมเกินไปแล้ว
“โธ่ พี่ชาย ไม่เพียงข้าอายุสิบหก ข้านอนกับสตรีตั้งแต่อายุสิบสามด้วยซ้ำ ท่านได้ยินแล้วก็อย่าได้แตกตื่นจนเกินไปล่ะ ข้าเคยสัมผัสมาหมดแล้ว เรือนร่างงดงามของพวกนาง อกนุ่มๆ ขาวๆ บั้นท้ายใหญ่ๆ.. ทีนี้ท่านรู้แล้วนะ เป็นอย่างไรเล่า บุรุษเช่นข้า ดูมีเสน่ห์ใช่หรือไม่?”
ต่อหน้าองค์ชายอิ้งเยว่ที่มันไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริง เจ้าคนคุยโวพูดพลางยักคิ้วหลิ่วตา ดูทะเล้นไม่เบา
อิ้งเยว่คิดในใจ 'ดูท่าแล้ว เจ้าเด็กนี่ หาได้พูดความจริงไม่ เจ้าหลอกข้าอยู่ล่ะสิ'
ที่แท้มันแค่โอ้อวด ทั้งที่เรื่องจริงอาจไม่เคยนอนกับสตรีคนใดเช่นเดียวกับเขาก็เป็นได้ ฟังจากเรื่องราวมากมายจากปากของมัน คนอาบน้ำร้อนมาก่อนก็พอคาดเดาได้ไม่ยาก เจ้าหนุ่มน้อยนิสัยเป็นเช่นไร คำพูดแต่ละคำล้วนคุยโวหาสาระสำคัญอันใดมิได้ ทว่าพอได้พูดคุยมาถึงตอนนี้ หากพูดว่าไร้ประโยชน์ก็หาใช่ซะทีเดียว ถึงแม้มีทั้งเรื่องจริงและเรื่องโกหก อย่างน้อยก็ทำให้อิ้งเยว่อารมณ์ดี เพลิดเพลินหายเบื่อได้ดีทีเดียว ดีกว่าฟังเจ้าหวังเหล่ยพูดพล่ามเป็นไหนๆ เจ้านั่นเอาแต่รายงานและรายงานทั้งวี่ทั้งวันจนน่าปวดหัว
“เช่นนั้นเจ้าพูดสิ เจ้าชอบสตรีแบบใดกัน” อิ้งเยว่แค่รู้สึกสนุกจึงอยากสนทนาต่ออีกสักคำ
ฉีอันฉียิ้มพลายอย่างภาคภูมิ ตบอกผาง “แน่นอนสิ นางผู้นั้นต้องมีรูปโฉมงดงามอยู่แล้ว ยิ่งงามข้ายิ่งชอบ มีบุรุษที่ไหนกัน ชอบคนขี้ริ้วขี้เหร่”
คู่สนทนาถามอีก “บุรุษเล่า เจ้ามีความคิดเห็นเป็นเช่นไร?”
หนุ่มน้อยได้ยินคำถามพิลึกพิลั่นอีกครั้ง เขาถึงกับมีท่าทีแตกตื่นซ้ำอีกรอบ รู้สึกปวดฟันขึ้นมาตงิดๆ “ท่านว่าอะไรนะ! ท่านหมายถึง... บุรุษที่นิยมตัดแขนเสื้ออย่างนั้นรึ?”
อีกฝ่ายกลับตีสีหน้าเรียบเฉย ราวกับคำถามนั้นหาได้ประหลาดอันใดไม่
“เจ้ามีความคิดเห็นเป็นเช่นไร หากเจ้าได้พบเห็นบุรุษประเภทนั้น”
แม้เป็นคำถามยากสำหรับเขา ผู้ไม่เคยได้สัมผัสบุรุษประเภทนั้นมาก่อน ทว่าเพื่อรักษาหน้าตัวเองเอาไว้ เขานี่แหละคือผู้รู้ทุกอย่างบนโลกใบนี้.. ฉีอันฉีจำต้องรีบเค้นสมองหาคำตอบโดยไว เขาตรึกตรองชั่วครู่ก่อนพูด “ก็ไม่ยังไงนี่ ขอเพียงบุรุษนิยมเพศเดียวกันไม่ไปเข่นฆ่าผู้คน ก็ถือว่าพวกเขามิได้ทำความผิด”
อิ้งเยว่ยิ่งฟังยิ่งสนใจในความคิดเห็นของคู่สนทนา “หากมีบุรุษประเภท... ข้าหมายถึง ประเภทนิยมรักร่วมเพศ เกิดพวกเขาชอบเจ้าขึ้นมา เจ้าจะว่าอย่างไร?”
“ข้า! นายน้อยฉีอันฉี ไม่ว่าผู้ใดได้เห็นก็ต้องนิยมชมชอบข้า.. ด้วยรูปโฉมของข้างดงามปานนี้ ข้ารู้สึกคุ้นชิน ไม่ว่ามีบุรุษหรือสตรีมาชอบข้า ข้าก็ชอบทั้งนั้น”
คำตอบนี้ของฝ่ายตรงข้าม ทำเอาใบหน้าหล่อเหลาขององค์ชายรองมีประกายตาวาววับ ขณะจ้องหน้าเจ้าตัวเล็กอย่างพินิจพิจารณา ราวกับว่าเขาเริ่มมีความหวังบางอย่างขึ้นมาแล้ว
“เจ้าหมายความว่า หากมีบุรุษมาชอบเจ้า เจ้าไม่ได้เห็นเป็นเรื่องผิดแผกใช่หรือไม่?”
ผู้ถูกถามยังไม่ทันตอบคำ เจ้าลิงทะโมนที่นั่งฟังพวกเขาคุยกันอยู่บนขื่อเป็นเวลานานก็เริ่มรู้สึกเบื่อ เมื่อหมดสนุกมันจึงอ้าปากหาวหวอด โยนเสื้อผ้าที่มันแย่งชิงมาทิ้งลงพื้นอย่างไม่ใยดี พลางส่งเสียงร้องเป็นภาษาลิง เจี๊ยก!
มนุษย์ทั้งสองหันไปมองมันพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ฉีอันฉีลุกขึ้นยืนเป็นคนแรก “เจ้าลิงบ้าตัวนี้ ในที่สุดเจ้าก็ยอมคืนเสื้อผ้ามาให้ข้า!”
มันร้องตอบอีกว่า เจี๊ยก
หนุ่มน้อยลุกขึ้นไปหยิบฉวยอาภรณ์ที่ตกพื้นขึ้นมา จับพลิกซ้ายพลิกขวาตรวจดู “เสื้อผ้าของข้าสกปรกหมดแล้ว เป็นเพราะเจ้านั่นแหละ เจ้าลิงบ้าเอ้ย”