บทที่ 7 เกาะส่วนตัว
09.00 น. หน้า lobby คอนโด C
ฉันนั่งรอพี่เชนน์มารับอยู่ด้านล่างของคอนโด ฉันบอกที่บ้านว่าจะออกมานอนคอนโดตั้งแต่ 3 วันที่แล้ว ฉันกับสรต่างก็มีคอนโดส่วนตัวเป็นของตัวเอง เผื่อบางทีอยากจะใช้เวลาส่วนตัวเราก็จะออกมานอนคอนโดกันบ้าง เรามีคอนโดกันคนละโครงการแยกกันซื้อด้วยเงินของตัวเอง เมื่อก่อนช่วงเรียนฉันออกมานอนที่คอนโดบ่อยก็เลยไม่มีใครสงสัย การไปเที่ยวกับพี่เชนน์ในครั้งนี้ฉันไม่ได้บอกใครทั้งนั้นไปแค่ 2 วัน 1 คืนระยะเวลาแปปเดียวคงไม่มีปัญหาอะไร การไปเที่ยวในครั้งนี้ฉันจะเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่มีความสุขกับคนที่ฉันรักให้ได้มากที่สุด เพราะหลังจากกลับมา ฉันตั้งใจจะจบความสัมพันธ์นี้ซะ ใช่ ฉันตัดสินใจช่วยสร ฉันไม่สามารถกอดเขาให้แน่นพอ ที่จะทำให้เขาเป็นของฉันคนเดียว
นั่งคิดอะไรไปได้สักพักพี่เชนน์เดินเข้ามาตอนไหนก็ไม่รู้ เขาเรียกฉันอยู่หลายครั้ง พอฉันรู้สึกตัวและหันไปหาเขาแบบไร้สติ แต่ก็ต้องขมวดคิ้วสงสัยเมื่อมองหน้าพี่เชนน์ตอนนี้ เขาดูตกใจและตื่นตระหนก
“นิเป็นอะไรหรือเปล่า พี่เรียกนิอยู่ตั้งนานแล้วนี่ นิร้องไห้ทำไมใครทำอะไรนิ”
ฉันยกมือขึ้นจับไปที่แก้ม เหมือนได้สติกลับมา ให้ตายสิ นี่ฉันคิดเรื่องนี้มากไปจนร้องไห้ออกมาไม่รู้ตัวเลยเหรอเนี่ย แล้วคนที่เห็นดันเป็นพี่เชนน์อีก เป็นบ้าไปแล้วหรือไงยายนิ มีสติเดียวนี้เลยนะ
“นิ..นิ..มะ..ไม่เป็นไรค่ะพี่เชนน์ฝุ่นน่าจะเข้าตานิน่ะค่ะ” พลางปาดเช็ดน้ำตาออกให้เร็วที่สุด
“ไม่เป็นไรแน่นะคะ พี่เป็นห่วงนินะถ้านิมีอะไรไม่สบายใจนิคุยกับพี่ได้ทุกเรื่อง อยากให้นิคิดว่ามีพี่อยู่ข้างนิเสมอ” เขาพูดพลางลูบหัวเธอไปเป็นการปลอบไปด้วย ตกใจแทบแย่ตอนเห็นเธอร้องไห้ เกลียดน้ำตาของเธอชะมัด ชอบที่จะเห็นแต่รอยยิ้มของเธอมากกว่า ราเชนน์ได้แต่ พึมพำในใจ
“ค่ะขอบคุณนะคะ ไปกันดีกว่าค่ะเดี๋ยวตกเครื่อง”
“ฮ่าๆๆ นิลืมเหรอพี่เป็นเจ้าของสายการบินนะ เราจะบินไปโดยเครื่องบินส่วนตัวค่ะพี่อยากให้คนพิเศษของพี่แฮปปี้ที่สุดสำหรับเดททริปครั้งแรกของเรา”
“นั่นสิคะ นิลืมไปเลยว่าแฟนนิรวยมาก”
ไม่นานก็มาถึงจุดที่ต้องขึ้นเครื่องส่วนตัว ราเชนน์ถือของให้ฉันทั้งหมด ไปเที่ยวครั้งนี้เขาไม่พาใครไปด้วยเลย แม้แต่การ์ดคนสนิทที่คอยตามเขาตลอดเวลา เขาก็ยังไม่ให้ไป ก็ดีเหมือนกันฉันอยากจะอยู่กับเขาสองคนมากกว่า เรานั่งเครื่องกันมาได้ประมาณเกือบ 1 ชั่วโมงกัปตันก็ประกาศว่าอีกประมาณ 10 นาที จะเอาเครื่องลงจอดที่รันเวย์บนเกาะส่วนตัวของราเชนน์ ทำเอาฉันอึ้งไปสักพักนี่นอกจากจะมีเครื่องบินส่วนตัวแล้วยังมีรันเวย์ของตัวเองอีกเหรอ เขาจะรวยไปไหนกัน เธอที่ใช้ชีวิตบนกองเงินกองทองตั้งแต่เกิดอยู่แล้วไม่ได้สนใจว่าเขาจะรวยขนาดไหน แต่ที่อึ้งก็คือเราจำเป็นต้องมีรันเวย์ส่วนตัวด้วยเหรอ
หลังจากเครื่องลงจอดได้สักพักพนักงาน 2-3 คนรีบวิ่งเข้ามาต้อนรับเราสองคนพร้อมกับช่วยกันยกของเข้าไปเก็บในวิลล่าหรู
“หิวไหม หรืออยากพักก่อน” พี่เชนน์หันมาถามฉันก่อนที่ตัวเขาเองจะจับมือฉันเดินเข้าไปในวิลล่า
“หิวค่ะตั้งแต่เช้านิยังไม่ได้ทานอะไรเลย”
“โอเคค่ะ เดี๋ยวพี่พาไปนั่งตรงนู้นแล้วกันนะ” ฉันมองตามมือของพี่เชนน์ที่ชี้ออกไปด้านนอก มีโต๊ะอาหารอยู่โต๊ะหนึ่ง วางอยู่ใต้ต้นไม้มีลมโกรกพัดตลอดเวลา กลิ่นอายของทะเลปะทะเข้ากับจมูกจนรู้สึกสดชื่นขึ้นมา พอมองเข้าไปใกล้ๆอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะก็พอจะเดาออกว่าราเชนน์เป็นคนจัดเตรียมนี้ทุกอย่าง เขาคงจะมีความสุขมากๆเลยสินะถึงลงทุนอะไรเยอะแยะขนาดนี้
“น่าทานจังเลยค่ะ พี่เชนน์เตรียมทุกอย่างคนเดียวเลยเหรอคะ”
“พี่อยากให้นิมีความสุข อยากให้นิรู้ว่าพี่รักนิมากๆไงล่ะคะ”
“น่ารักจังเลยค่ะ นิก็รักพี่เชนน์มากๆนะคะ”
เราสองคนทานอาหารด้านหน้าจนหมด พี่เชนน์แกะกุ้งให้ฉันจนเต็มจาน ตัวเองแทบจะไม่ได้กินด้วยซ้ำ ช่วงเวลาของความสุขมันสั้นมากจริงๆ
หลังจากทานอาหารเสร็จฉันกับเขามาเดินเล่นตามชายหาด เราสองคนเดินจับมือกันไปเรื่อยๆ สายตาจ้องมองชายหนุ่มที่ตั้งแต่เดินมายังพูดไม่ยอมหยุด ราวกับว่าเราไม่ได้เจอกันนาน จนมีเรื่องที่เขาอยากจะเล่าให้ฟังเต็มไปหมด ฉันเดินฟังเขาพูดไปเรื่อยๆจนพระอาทิตย์เริ่มจะตกดิน สายตาทอดมองยาวออกไปทางทะเลสีครามที่ไม่มีจุดสิ้นสุด สะท้อนแสงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า มันสวยจนคิดว่าเรากำลังอยู่ในเทพนิยายเรื่องหนึ่ง ที่มีพระเอกและนางเอกยืนจับมือกัน มองภาพด้านหน้าด้วยความสุขที่ไม่มีใครสามารถพรากสิ่งที่เขารักไปจากกันได้ชั่วนิจนิรันดร์ หากแต่ว่าตอนนี้คือความจริง ที่ฉันไม่สามารถเอาเขามาเป็นของฉันได้อีกต่อไปแล้ว
“สวยจังเลยนะคะ”
“สวย แต่ไม่เท่ากับผู้หญิงที่ยืนข้างๆพี่ตอนนี้”
“พี่เชนน์คะ ถ้าวันหนึ่งนิทำอะไรให้พี่เชนน์ต้องเสียใจกับนิมากๆ พี่เชนน์จะเกลียดนิไหมคะ” ฉันหันไปมองสายตาของเขา อย่างคาดหวังรู้สึกกลัวคำตอบขึ้นมา กลัวว่าจะเป็นคำที่ไม่อยากจะได้ยิน
“พี่ไม่เคยคิดอยากจะเกลียดนิ ต่อให้เรื่องของเราไปต่อกันไม่ได้จริงๆ ความรักที่พี่มีให้กับนิตอนนี้ มันมากจนพี่คิดว่า พี่ไม่สามารถรักใครเท่านี้ได้อีกแล้ว แต่พี่ขออย่างเดียวพี่ไม่ชอบการหักหลัง ถ้าวันหนึ่งเรามีปัญหาทำให้ต้องทะเลาะกัน นิต้องสัญญากับพี่นะว่าเราจะใช้เหตุและผลคุยกันให้มากที่สุด” พี่เชนน์พูดพร้อมกับยกมือขึ้นมาประคองใบหน้าของฉันเอาไว้ เราทั้งสองมองจ้องตากันอยู่หลายนาที โดยที่ไม่มีคำพูดใดๆ
“เราเข้าบ้านกันไหมคะ เริ่มมืดแล้ว” ฉันไม่ได้ตอบอะไรเขากลับไป เพียงแต่ตัดบทโดยการชวนเข้าไปในบ้าน กลัวว่าหากปล่อยให้บทสนทนายาวกว่านี้ ฉันจะต้องร้องไห้ให้เขาเห็นแน่ๆ
เราทั้งสองเดินจับมือกันเข้ามาในวิลล่าหรู ด้วยความที่เราเดินอยู่บนชายหาดเป็นเวลานาน เนื้อตัวเลยเหนียวเนอะหน่ะไปหมด พี่เชนน์จึงบอกให้ฉันเข้าไปอาบน้ำก่อน ส่วนเขาขอคุยงานกับเลขาที่ส่งข้อความเข้ามาให้เขาติดต่อกลับด่วน ฉันได้แต่พยักหน้าและหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำทันที ใช้เวลาในห้องน้ำไปสักพัก ฉันเดินออกมายังเห็นเขาหน้าเครียดกับสายโทรศัพท์ที่ยังคงคุยกันอยู่ บริษัทเขามีปัญหาหรือเปล่านะ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีเรื่องด่วนให้ต้องติดต่อกลับขนาดนี้ ไม่นานนักพี่เชนน์ที่รู้สึกเหมือนว่ามีคนกำลังจ้องมองอยู่ ก็เลยหันมาเห็นฉันพอดี
“อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ”
ฉันยิ้มพยักหน้ากลับไป เขาจึงหันไปบอกกับคนในสายว่าจะติดต่อกลับไปอีกที
หลังจากวางสาย พี่เชนน์ก็ใช้เวลาในการอาบน้ำได้ไม่นาน ฉันที่แต่งตัวและขึ้นไปนอนรอเขาบนเตียงในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ ก็ต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอจนแทบจะสำลัก เขาเดินออกมาโดยที่มีผ้าขนหนูพันรอบเอวแบบหมิ่นเหม่ ท่อนบนที่เปลือยโชว์กล้ามหน้าท้องที่บ่งบอกว่าผ่านการออกกำลังกายมาอย่างหนัก แบบนี้สินะที่ทำให้สาวๆหลงจนยอมมอบร่างกายให้เขาโดยที่ไม่ต้องร้องขอ
“เช็ดน้ำลายหน่อยไหม หรือให้พี่เช็ดให้ หืมมม” เสียงพี่เชนน์ทำให้ฉันรีบตั้งสติจนเผลอกระพริบตาไปหลายครั้ง
“ละ…แล้วทำไมไม่เอาเสื้อผ้าเข้าไปแต่งตัวในห้องน้ำด้วยล่ะคะ” ฉันเขินจนสีหน้าออก เล่นอ่อยแบบนี้ฉันจะทนไหวไหมเนี่ย ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยนอนด้วยกัน แต่ไม่เคยเห็นเขาในสภาพนี้เลย
พี่เชนน์ใช้โอกาสตอนที่ฉันกำลังเผลอ กระโดดขึ้นมาคล่อมร่างฉันเอาไว้
“ทะ..ทะ…ทำอะไรคะ”
“เราคบกันมานานแล้วนะ นิเองก็ใกล้จะเรียนจบแล้วด้วย พี่อยากให้นิเห็นว่าข้างในพี่มันต้องการนิมากแค่ไหน” เสียงเขาแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบ เขาก้มลงมาพูดที่ข้างหูของฉันจนฉันขนลุกไปหมด ฉันได้แต่เงียบจนเขาเงยหน้าขึ้นมามองหน้าฉัน ใบหน้าของเราใกล้กันจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย เขาทำให้ใจฉันเต้นแรงมากจนคิดว่าเขาน่าจะได้ยินเสียงมันเหมือนกัน
“พี่เชนน์ ลุกออกไปก่อนค่ะ นิหนัก” ฉันพยายามพูดให้สั่นน้อยที่สุด ตอนนี้สติฉันแทบจะหายไปหมดแล้ว แต่แทนที่พี่เชนน์จะเห็นใจเขากลับลดใบหน้าต่ำลงมาจนปากเราชนกัน
“พะพี่…อื้มมมมม” เขาใช้โอกาสตอนที่ฉันกำลังพูดสอดแทรกลิ้นเข้ามาเพื่อฉกชิงน้ำหวานในปาก ฉันที่ตกใจได้แต่พยายามดิ้นเพื่อให้หลุดจากการกระทำนี้